Fashion

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

10 เทคนิคการก้าวสู่อาชีพ Blogger แบบหาตังค์ได้

มีคนถามผมมาว่า อาชีพ Blogger หาเงินได้จริงไหม เป็นเซเลปวงการอินเตอร์เน็ตจริงหรอ มีมือถือใช้คนละ 4-5 เครื่องจริงๆหรอ ไปงานไหนก็มีแต่คนเชิญงั้นหรอ ผมก็ต้องบอกแหละครับ ว่ามีจริง ที่ต่างประเทศเนี่ย Blogger ที่หาเงินค่าเขียน Blog + Ads มีรายได้เดือนละแสนก็มี แต่มันไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆ รวมไปถึงเงินลงทุนกับวงการ Blogger เมืองไทย ขอเรียกได้ว่า ขี้เล็บมดยังใหญ่ไปซะด้วยซ้ำ  แต่ผมก็ยังไม่อยากถึงกับพูดเพื่อ กลบฝันของหลายๆคนที่รักงานเขียน Blog แล้วอยากจะทำอาชีพ Blogger จริงๆ ยังไงก็ลองดูเทคนิคที่ผมใช้ละกันนะครับ

1. หาเรื่องที่ชอบมาผสมกับความถนัดแล้วนำเสนอแบบไม่เหมือนใคร
ปัจจุบันประเทศไทยมี Blogger หลายพัน หลายหมื่นคน แต่ละคนก็จะมีบุคลิกต่างกัน หาจุดเด่นของคุณแล้วก็พยายามทำให้มันฉีก ไม่เหมือนคนอื่น เพราะถ้า Blog คุณเหมือนกับ Blog ที่มีคนเคยเขียนอยู่แล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะมีใครเข้าไปอ่าน เพราะปัจจุบันก็มี Blogger ขั้นเทพ ยึดหัวหาดการนำเสนอเอาไว้หมดแล้ว ถ้าคุณไม่โดดเด่นจริงๆ ก็คงยากที่คนจะเข้ามาสนใจ รวมไปถึง Digital Agency ที่จะมาติดต่อลงโฆษณาด้วย
ตอนนี้ Blogger สายที่หารายได้ได้ จะมีอยู่ประมาณ 4 สายด้วยกัน
สาย IT จะทำพวกรีวิวอุปกรณ์ต่างๆเช่น มือถือ , Tablet , Notebook , กล้อง Digital , Networking โดยที่ Blogger ที่ประจำสายนี้ ก็มี kafaak.com , yokekungworld.com , thaicyberpoint.com ,
สายท่องเที่ยว … พวกนี้ เดินทางเยอะ กิน เที่ยว กันเป็นว่าเล่น เก็บข้อมูลละเอียดยิบ  ซึ่ง Blogger ที่ประจำสายนี้คือ jidapa.in.th , don-jai.com , dunbine.exteen.com 
สายความงาม .. เครื่องสำอางค์ สปา นวด และบริการความงามต่างๆ กลุ่มนี้ไม่มีพลาด pinnyforever.com , nichieme.com , erk-erk.com
สาย Lifestyle .. กลุ่มนี้จะกลางๆ ทั้งกิน ดื่ม เที่ยว บริการ ความแปลกใหม่ในชีวิต ที่ Hot มากของกลุ่มนี้คือ khajochi.com ครับ
และสายสุดท้ายคือ สายอสังหาริมทรัพย์ อันนี้ ยังไม่มี Blog สายนี้ตรงๆ แต่จะมี Blogger สาย Lifestyle , IT , ความงานไปแจมอยู่ตลอด ซึ่งอยากจะบอกว่า วงการนี้มีงบเยอะมากๆนะคร้าบบบ
สายอื่นๆยังไม่ค่อยจะมีชัดเจนมากเท่าไหร่ครับ และเนื่องจากตอนนี้วงการ Blogger ยังมีคนเขียนระดับ Hot ไม่เยอะมาก ดังนั้น ทั้ง 4 วงการ ก็จะมีการส่งงานให้กับ Blogger แบบข้ามไป ข้ามมากันอยู่เสมอ
อย่าง Freeware.in.th ก็มียัง Blog เริ่อง กิน เที่ยว มาปนๆกันด้วย เพราะผมเองก็เป็นนักกิน นักเที่ยวเหมือนกัน รวมไปถึง Smartphone และ Networking ก็เป็นความถนัดของผม
ดังนั้น ถ้าจะเขียนเรื่องอะไรก็เอาให้อยู่กับ 4 สาย หลักๆนี้ แต่ให้ฉีกแนวกว่าขาประจำเจ้าเก่าที่เค้าเคยทำมานั่นเองครับ

2. ก่อนจะเขียน ให้เริ่มที่กระดาษก่อน แล้วค่อยเขียนลง Blog
อันนี้เป็นเทคนิคส่วนตัวของผมเองครับ ก่อนที่ผมจะปั่น Blog .. ผมจะค่อยๆกำหนดทิศทางการเล่าเรื่องในกระดาษก่อนว่าจะ เปิดหัวเรื่องยังไง นำเข้าสู่รายละเอียดยังไง และจบยังไงให้คนอ่านรู้สึกอยากคลิกแชร์ต่อ หรือ อยากทดลองใช้โปรแกรมที่ผมเอามานำเสนอ ซึ่งจากการทำแบบนี้ จะทำให้การเขียน Blog ราบรื่นขึ้นมาก เพราะเราเห็นภาพในหัวของเราแล้วว่า Blog ที่เราเขียนตั้งแต่ต้นจนจบ มันจะมีอะไรบ้าง

3. ความถูกต้อง คือ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับ Blog
เอาง่ายๆก็คือ คุณเขียน Blog มาเพื่อ แฟนๆประจำ Blog ของคุณ เค้าเลือกที่จะอ่าน Blog ของคุณ ก็เพราะเค้าเชื่อคุณ และ เพื่อตอบสนองต่อความเชื่อใจนั้นๆมันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่ไม่ว่าคุณจะเขียน Blog อะไรก็ตาม มันจะต้องเป็นเรื่องจริงและข้อมูลที่ให้ก็ต้องถูกต้อง เพราะถ้าเกิดคุณนำเสนอข้อมูลผิดๆไปแล้ว นอกจากคนที่เข้ามาอ่านจะเอาข้อมูลผิดๆไปเผยแพร่แล้ว คุณยังอาจจะเจอดราม่าอีกด้วย ถ้าเกิดมีคนที่รู้ว่ามันผิดตรงไหน … รวมไปถึงเรื่องโกหกอีกด้วย ถ้ามีคนจับได้ มันจะกลายเป็นตราบาปติด Blog คุณไปยาวนานเลยแหละ เช่น การโม้ว่าหลงป่าแถวภูเขาไฟฟูจิน่ะ

4. เขียนทุกวัน อย่าหยุด
เพราะคุณคือ หน้าใหม่ของวงการ ดังนั้น ยิ่งคุณเขียนมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีกระสุนลูกใหม่ยิ่งใส่วงการ Social Network เพื่อดึงความสนใจมายังคุณมากขึ้น การเขียนทุกวันนอกจากเป็นการได้สิทธิ์โปรโมทวันละครั้งมาสู่ Blog ของเราแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาฝีมือในการเขียนให้ดีขึ้น เร็วขึ้น สนุกขึ้นและละเอียดมากขึ้นอีกด้วยในหนังสือชื่อ Outlier ของ Malcolm Gladwell จะมีกฏอยู่ข้อหนึ่งที่เรียกว่า กฏ 10,000 ชม.  เนื้อหาของกฏนี้ก็คือ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม เช่น ขับรถ แปรงฟัน ซักผ้า ขี่จักรยาน .. ถ้าคุณทำมันครบ 10,000 ชม. เมื่อไหร่ คุณก็คือ ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกสำหรับด้านนั้นทันที เช่นเดียวกัน หากคุณเขียน Blog มากและยาวนานเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ความเป็น Blogger สายหาเงินมากเท่านั้นแหละครับนั่นก็คือ ถ้าคุณเขียน Blog แบบ ไม่หลับ ไม่นอน ไม่กิน ไม่ดื่น ไม่เข้าห้องน้ำ ประมาณ 416 วัน ต่อเนื่องแบบ non stop คุณก็คือ เทพ Blogger แล้วนั่นเอง แต่ในความเป็นจริงคงไม่มีทางทำได้ ดังนั้น ถ้าเอาง่ายๆ เขียน Blog วันละ 1 ชม. ทุกวัน กว่าคุณจะเป็นเทพ Blogger ก็ประมาณ 27 ปี นั่นเองครับ ฮ่าแต่วงการ Blog พึ่งจะมีมาไม่กี่ปีเองครับ ดังนั้น ยังไม่มีเทพ Blogger บนโลกนี้หรอก อิอิ

5. ลงทุนกับ Content อย่างสม่ำเสมอ
สิ่งที่คนเข้ามาอ่านก็คือ สิ่งที่เราเขียน แต่เรื่องที่เราจะเอามาเขียน บางครั้งถ้าไม่ลงทุนกับมันบ้าง ก็คงจะไม่มีใครสนใจ เช่นถ้าคุณไม่ออกไปมองโลกกว้าง , ซื้อของแปลกๆใหม่ๆมาทดลอง , หาของแปลกๆมากิน , ถ่ายรูปที่แปลกๆมานำเสนอ ก็คงจะยากที่คุณจะพัฒนา Content ในเว็บคุณไปสู้กับคนอื่นได้ ยกเว้นคุณจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสแบบ Freeware.in.th ครับ ของผมรีวิว โปรแกรมฟรี เพื่อมาแทนโปรแกรมผิดลิขสิทธิ์ ก็เลยไม่เสียเงินมากเท่าไหร่ แต่ก็หมดตัวไปกับการรีวิว Hardware บางตัวมาก เพราะส่วนตัวก็ชอบซื้อพวก Gadget แปลกๆมาลองอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าคุณจะเป็น Blogger แบบหาเงิน คุณก็ต้องลงทุนกับสิ่งที่คุณจะนำเสนอด้วยนั่นเองแหละครับ
แต่ก็ใช่ว่า การลงทุนกับ Content จะต้องเป็นเงินเสมอไปครับ จริงๆไอเดีย + เทคนิคการนำเสนอ ก็แปลงร่างเป็น ต้นทุนได้เหมือนกันนะ

6. Stat คือชีพจรของเว็บ จงดูแลมัน แต่อย่าไปใส่ใจกับมัน
Stat คือ Code ที่จะใช้ในการตรวจจับว่า มีใครบ้าง เข้ามาดูเว็บคุณ เมื่อไหร่ ยังไง อยู่นานแค่ไหน ด้วยอุปกรณ์อะไร ซึ่งผลของมันจะนำไปสู่การพัฒนา Content ใน Blog คุณอย่างต่อเนื่อง เช่นถ้าช่วงนี้คุณพบว่าเขียน Blog เกี่ยวกับการ สมัคร Apple ID แล้วมีคนเข้ามาเยอะเลย  คุณก็อาจจะเขียนเพิ่มอีกตอน เป็นเรื่อง การสมัคร Apple ID แบบไม่ใช้บัตรเครดิต ซึ่งผมเคยทำมาแล้วล่ะ แล้วก็พบว่า 2 Blog นี้ มีการเดินทางของคนอ่าน กลับไป กลับมา ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว ทำให้ Traffic ในเว็บมีการวิ่งไป วิ่งมา ระหว่าง Content มากขึ้นครับแต่ที่ผมบอกเอาไว้ว่า จงดูแลมัน แต่อย่าไปใส่ใจกับมัน เพราะว่า บรรดา Blogger หน้าใหม่ทุกท่าน เวลาเห็นเลข Stat แล้วจิตใจจะหดหู่เหมือนโดนสาวทิ้งมาซะงั้น เหตุเพราะว่า เมื่อเราเริ่มเปิด Blog คนอ่านมันก็ต้องน้อยมากเป็นธรรมดาครับ แล้วช่วงเวลานี้ดันยาวนานซะด้วย ซึ่งยิ่งดูก็ยิ่งหดหู่ครับ ผมถึงบอกว่า Stat เนี่ย ให้ดูแลมันให้ดี นั่นก็คือ รันโค้ดให้ถูกต้อง ทุกหน้า ติดในตำแหน่งที่เหมาะสม ดูๆมันบ้าง ว่าสถานการณ์เป็นอะไร แต่อย่าไปใส่ใจกับมัน ถ้ามันน้อยกว่าที่เราคาดเอาไว้ครับ

7. อย่าเห็นแก่เงิน
ผมเห็น Blogger หลายคนหน้ามืด คิดจะเอาเงินจากพวก Affiliate , Adsense , Banner ลามกมากมาย ปิดกันเต็มเว็บไปหมด ให้ความรู้สึกเหมือน กรุงเทพตอนโดนหาเสียงยังไงยังงั้นเลย ซึ่งอยากจะบอกตรงๆว่า วิธีนั้นถึงจะหาเงินได้ แต่ก็ไม่ยั่งยืน แถมภาพลักษณ์ Blog ของคุณก็จะเสียหายอย่างมาก เวลาไปเดินงาน คุณอยากจะแนะนำตัว Blog ของคุณไหมล่ะครับ ว่าผมคือ Blog นี้นะครับ คลิกยากหน่อยเพราะ Banner เพียบเลย ลามกทั้งนั้น อะไรแบบนี้
รวมไปถึง ในตอนที่คุณเริ่มจะมี ชื่อเสียง และมีคนมาจ้างรีวิว .นั่นเป็นข่าวดีครับว่ามีคนยอมรับคุณแล้ว แต่ก็อย่าทำให้มันเป็นข่าวร้ายด้วยการเขียน อวย กันซะออกนอกหน้า จนเกินสิ่งที่เรียกว่า “ความจริง” ไปนะครับ เพราะสุดท้ายแล้วคนที่จะตัดสินก็คือผู้อ่านครับ ถ้าเค้าพบว่า Blog ที่คุณนำเสนอ มีแต่เรื่องที่ดูเชื่อถือไม่ได้ เขาเหล่านั้นก็จะจากไปครับ ซึ่งพวกเราในวงการ Blogger ยอมรับว่า มีการจ้าง Blogger เพื่อประชาสัมพันธ์จริง แต่พวกเราก็จะกำชับกับไปยังผู้ว่าจ้างทุกครั้งว่า เราจะเขียน “ข้อเท็จจริง” มีข้อดีบอกข้อดี มีข้อเสียก็บอกข้อเสียเท่านั้นเอง แต่มันก็ขึ้นอยู่กับ เทคนิคการนำเสนอของแต่ละคนด้วยว่า จะนำเสนอข้อเสียได้นุ่มนวลขนาดไหนแค่นั้นแหละครับ

8. เตรียมนามบัตรไว้ให้พร้อม 
อาชีพ Blogger ก็เหมือนกับ Salesman แหละครับ แต่สิ่งที่เราขายก็คือ ความเป็นตัวตน ความเป็นแบรนด์ของเรา และช่องทางประชาสัมพันธ์ข่าวสารผ่าน Blog ของเรา และถึงแม้ว่าเราจะทำงานในโลกออนไลน์ แต่ก็อย่าลืมเตรียมช่องทางติดต่อแบบออฟไลน์ไว้ด้วย ซึ่งบอกตามตรง ผมได้รับงานรีวิว ผ่านทางนามบัตรที่ผมมอบให้กับทางลูกค้า , Digital Agency และรวมไปถึง เพื่อนๆ Blogger ด้วยกันนี่แหละครับ เวลา Blogger ไปงาน เราก็จะเจอ Blogger ท่านอื่นมาร่วมงานด้วย ถ้ายังไม่รู้จัก ก็ยิ้มซักที ยกมือสวัสดี ถ้าอีกฝ่ายอายุมากกว่า แล้วก็แนะนำตัวพร้อมนามบัตรไปโลดครับ ผมก็ใช้วิธีนี้ เก็บงานและรายชื่อผู้ที่จะส่งงานมาให้หลายคนเลยทีเดียวครับนามบัตรควรจะมีรายละเอียดในการติดต่ออย่างครบถ้วน ชื่อ , นามสกุล , ที่อยู่ ทั้งที่อยู่จริงๆ และ ที่อยูู่สำหรับออกเอกสารภาษี , ช่องทางติดต่อทาง Social Network ให้ครบ ไม่ว่าจะเป็น URL ของ Blog , Facebook , Twitter , Email  และเบอร์มือถือ ถ้าเป็นไปได้ ก็ใส่หน้าเท่ห์ๆของเราลงไปด้วย เพราะบางทีเผื่อนึกหน้าไม่ออก เนี่ยแหละครับ แปลงกระดาษแผ่นเดียวให้กลายเป็นอุปกรณ์เอนกประสงค์ ทั้งแนะนำตัว สร้างความประทับใจและส่งเอกสารได้ในชิ้นเดียวไปเลย

9. รักษาความเป็นมืออาชีพ 
ความเป็นมืออาชีพมีหลากหลายมุมนะครับ ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามีอะไรบ้าง แต่สำหรับผม ความเป็นมืออาชีพจากงานการที่ผมได้รับการสั่งสอนมาจากการทำงานประเภท Network Admin และ Organizer ก็คือ ” The Show must go on” .. ถ้าคุณรับงานมา ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร ถ้ารับไปแล้ว ก็ต้องทำให้เสร็จ ตรงเวลา และ ห้ามทำงานประเภท ไก่เขี่ยส่งลูกค้าเด็ดขาด การรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ นอกจากครั้งหน้า ลูกค้าจะกลับมาใช้บริการคุณแล้ว เค้ายังแนะนำต่อให้กับ Digital Agency เจ้าอื่นๆด้วยครับ
โดยส่วนตัว ผมอยากทำงานให้ได้เหมือนกับที่ Ono Jiro พ่อครัวซูชิอันดับหนึ่งของโลก ถ้าใครได้ดูหนังสารคดีเรื่อง Jiro Dream of Sushi ล่ะก็ คุณจะได้เห็นความเป็นมืออาชีพของหลากหลายอาชีพจากชาวญี่ปุ่นครับ  และผมก็อยากให้คนที่เป็น Blogger ช่วยกันสร้างความเป็นมืออาชีพให้มันได้แบบนั้นด้วยครับ อัยย่ะ!!

10. จงสนุกสนาน และลุ่มหลงไปกับ Blog ของคุณ!
ไม่ว่าจะทำอะไร ถ้าคุณไม่สนุกหรือไม่ได้หลงใหลมันล่ะก็ ต่อให้มันดูดีแค่ไหน เราก็คงไม่สามารถทำมันได้นานหรอกครับ สุดท้ายแล้วก็ฝืนไม่ไหวแล้วก็ต้องเลิกอยู่ดี ผมเองก็เขียน Blog ด้วยความสนุกและท้าทาย ทุกครั้ง และจะรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้ง ที่มีคนมาถามว่าโปรแกรมที่ทำความสามารถแบบนั้น แบบนี้ได้ มีไหม มันกลายเป็น Passion ของผมไปแล้ว ว่าผมจะต้องพิชิตความท้าทายนี้แล้วหาโปรแกรมฟรี มาเขียนเพื่อนำเสนอให้ได้สำหรับ Blogger ทุกท่านที่อยากประกอบอาชีพ Blogger ผมก็อยากให้ทุกท่านมี Passion ในการเขียน Blog ครับ แล้วมันก็จะเป็นอย่างที่เค้าว่ากันไว้แหละ ว่า ถ้าเราสนุกกับงานของเรา เราจะไม่รู้สึกเหมือนเรากำลังทำงานอยู่เลย

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก http://www.freeware.in.th/blog/6239
Category: articles

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ชื่อโปรแกรมพร้อมทั้งการใช้งานที่เป็นการบำรุงรักษาคอมพิวเตอร์

1.Hard disk 

           Ashampoo HDD Control (โปรแกรมดูแล เพิ่มประสิทธิภาพ Harddisk) : สำหรับ โปรแกรมนี้มีชื่อว่า โปรแกรม HDD Control จากค่าย Ashampoo จากเมืองเบียร์ ประเทศเยอรมัน มันเป็นโปรแกรมที่เอาไว้ใช้ในการดูแลฮาร์ดดิสก์ ตัวนี้เป็นโปรแกรมที่จะช่วย เพิ่มประสิทธิภาพ การทำงานของเครื่องคอมของคุณให้เร็วขึ้น แรงขึ้น และยังปกป้องดูแลข้อมูลสำคัญๆ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ เนื่องจากว่า ฮาร์ดดิสก์เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของคอมพิวเตอร์ของคุณ จึงควรที่จะหมั่นตรวจสอบ ดูแลบำรุงรักษาฮาร์ดดิสก์เพื่อป้องกันรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์และข้อมูลสำคัญๆ ของคุณ นี้จะสามารถตรวจสอบสถานะของฮาร์ดดิสก์ของคุณ โดยจะคอยตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ของคุณอย่างละเอียด ใช้เทคโนโลยี S.M.A.R.T ที่สามารถทำการปรับระดับเสียง จัดการพลังงานของฮาร์ดดิสก์และยังสามารถกู้ไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ถูกลบโดยไม่ได้ตั้งใจ โดย โปรแกรมดูแล Harddisk สามารถทำการตรวจสอบ บำรุงรักษาฮาร์ดดิสก์และช่วยจัดระเบียบฮาร์ดดิสก์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณ Program Benefits (จุดเด่นของโปรแกรม Ashampoo HDD Control) ตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ของคุณอย่างต่อเนื่อง ตอบสนองการใช้งานของผู้ใช้ บำรุงรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของฮาร์ดดิสก์ สนับสนุนการทำงานร่วมกับ ฮาร์ดดิสก์ภายนอก (External Harddisk) ฮาร์ดดิสก์พกพา (Portable Harddisk) รวมไปถึง ฮาร์ดดิสก์แบบใหม่ล่าสุดอย่าง Solid State Drives (SSDs) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนเทคโนโลยี S.M.A.R.T การปรับระดับเสียงและการจัดการพลังงานของฮาร์ดไดรฟ์ มีความสามารถในการกู้คืนข้อมูล และ กู้ไฟล์ โฟลเดอร์ ต่างๆ ที่ถูกลบไปแล้ว (Data Recovery Supported) จัดระเบียบข้อมูลของฮาร์ดดิสก์อัตโนมัติ มีระบบแจ้งเตือนความผิดปกติของฮาร์ดดิสก์ผ่านอีเมล์ (E-Mail Notifications) มีระบบการเปรียบเทียบผลการตรวจสอบ ทดสอบฮาร์ดดิสก์ กับมาตรฐานสากลทางออนไลน์ และความสามารถอื่นๆ อีกมากมาย
ขอบคุณข้อมูลจาก http://software.thaiware.com/5883-Ashampoo-HDD-Control.html


2.Cpu Hot CPU 
           Tester Pro การใช้งาน : ผู้ใช้สามารถเรียกใช้งานโปรแกรมได้โดยเรียกใช้งานผ่านเมนู Program Files จากนั้นเลือกไปที่เมนู Hot CPU Tester Pro 3 LE และคลิกไปที่เมนู Hot CPU Tester Pro 3 (Lite Edition) อีกครั้งครับ เมื่อเข้าสู่ตัวโปรแกรมให้ผู้ใช้คลิกที่ปุ่ม RUN ตัวโปรแกรมจะทำการตรวจสอบ CPU, chipset motherboard พร้อมรายงาน Errors/Bugs ที่พบเจอด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก http://download.kapook.com/publish/article_207.shtml


3.Ram SuperRam 
           โปรแกรม SuperRam เครื่องมือที่ดีที่สุดในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับแรมของคุณโดยโปรแกรมนี้จะช่วยในการบำรุงรักษา การจัดการกับการตั้งค่าต่างๆ ของหน่วยความจำด้วยวิธีที่ดีและเหมาะสมกับที่มันควรจะเป็นมากที่สุดแล้วคุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นด้านความเร็วในการใช้งานคอมพิวเตอร์ของคุณเอง ส่วนใหญ่โดยรวมแล้วมันจะดีขึ้นมาก โดยหน้าจอการทำงานนี้ไม่ยากอย่างที่คิดเพราะทางผู้พัฒนาได้เอ่ยออกมาเองว่าแม้แต่เด็กเองที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นก็สามารถใช้งานโปรแกรมนี้ได้อย่างง่ายดาย โดยโปรแกรมนี้จะส่งเสริมประสิทธิภาพและช่วยปรับแต่งการทำงานของ RAM หรือหน่วยความคอมพิวเตอร์ วิธีการใช้ให้มีการให้เปิดโปรแกรมขึ้นมา Interface ของโปรแกรมจะมีหน้าตาเหมือนกภาพด้านล่าง ประกอบไปด้วยข้อมูลการทำงานของ Ram 1. ค่าเฉลี่ยพื้นที่ว่างของ Ram 2. ค่าเฉลี่ยนพื้นที่การทำงานของ Ram และบอกเปอร์เซ็นต์การทำงานของ Ram ณ ขณะนั้น ว่าใช้งานอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ประมวลผลที่เร็วขึ้นอย่างที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน 3.Change options and settings คือการปรับแต่งพื้นที่การทำงานของ Ram ให้ทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น 4. Memory benchmark test คือการเปรียบเทียบการทำงานของ Ram หรือทดสอบการทำงาน Ram เมื่อเราได้ปรับแต่งไปแล้ว 5. Memory statistics and history แสดงค่าประวัติการทำงานของ Ram อยู่ในรูปแบบกราฟ เพื่อจะให้ดูค่าอย่างง่ายๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก http://comtips.2beshop.com/?p=10318


4.Mainboard 
             Advanced SystemCare Pro คือโปรแกรมดูแลเครื่อง ที่จะช่วยแก้ปัญหาเครื่องอืด เครื่องผิดปกติ เครื่องช้า ทั้งที่เกิดจากการบุกของเหล่าไวรัสโฆษณา Advanced SystemCare สามารถช่วยวิเคราะห์ให้คุณได้ เรียกได้ว่าครบเครื่องจริงๆ เป็นอีกโปรแกรมหนึ่งที่ควรมีติดเครื่องไว้นะครับ ไม่มีอะไรเสียหาย และที่สำคัญผู้พัฒนาโปรแกรมดูแลเครื่องนี้ เค้าออกมารับประกันว่าไม่มีอะไรใดๆ แอบแฝงมากับโปรแกรมแน่นอนครับ ซึ่งเราก็ได้นำตัวเต็มมาให้ได้ดาวน์โหลดฟรีกันเช่นเคยครับ คุณสมบัติ Advanced SystemCare : – เพิ่มความเร็วให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ ให้พ้นจากปัญหาเครื่องอืด และเครื่องช้า สามารถปรับแต่งไฟล์รีจิสทรี (Registry) และยังเพิ่มความเร็วเน็ต (Internet Booster) โดยไม่ทำให้เครื่องเสียหายแต่อย่างใด – ปรับแก้ไข ปัญหาที่เกิดขึ้นในเครื่องพีซีของคุณ พร้อมแก้ไข ซ่อมแซมปัญหาทั้งหมด เพียงแค่ 1 คลิก – สามารถตรวจจับ และ กำจัด สปายแวร์ (Spyware) และ แอดแวร์ (Adware) – มีผู้ใช้ โปรแกรมดูแลเครื่อง มากกว่า 200+ ล้านคน จากทั่วโลก
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.mawtoload.com/advanced-systemcare-pro-8-full-one2up/


5.Power Supply 
              Event Viewer เครื่องมือที่ใช้สำหรับการเก็บข้อมูล การใช้งานและปัญหาต่างๆ? ที่เกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์ของเรา โดยจะมีการแบ่งการจัดเก็บข้อมูลได้ 3 ประเภทดังนี้ (ข้อมูลนี้ทดสอบจากการใช้งาน Windows Server) Application Security System 1.เข้าที่ปุ่ม Windows แล้วพิมพ์ในช่องค้นหาว่า "log" จากนั้นเลือก "View event logs" 2.จะปรากฏหน้าจอประมาณนี้ครับ ซึ่งมันจะป็น log ของเครื่องเรา สำหรับคนที่ดูเป็น เค้าสามารถดูได้หลายๆ อย่างครับ แต่ผมเอาไว้ดูเรื่องของระบบจ่ายไฟอย่างเดียว แฮ่ๆ 3.ให้เราเลือกที่ Critical ครับ จะมีรายละเอียดเพิ่มมาให้ดู เราจะพบว่า Source เป็น Kernel-Power ให้เราดับเบิ้ลคลิ๊กอีกทีครับ 4.เราจะพบกับรายละเอียด ประมาณนี้ครับ มีอะไรผิดปกติ ลองสังเกตุดูครับ จะพบปัญหาเรื่อง Kernel-Power หรือก็คือ ปัญหาเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า มันจะอธิบายอยู่ด้านล่างครับ เป็น ภาษาอังกฤษ แปลได้ประมาณว่า ระบบทำการรีบูต/ชัตดาว ด้วยวิธีไม่ปกติ อาจเกิดจากระบบไม่ตอบสนองหรือ ระบบไฟฟ้าไม่ปกติ และเราลองมาดู Date and Time ดูครับ จะพบว่ามันเริ่มมีอาการประมาณนี้ตั้งแต่วันที่ 4 มาจนถึงวันที่ 12 ซึ่งมันค่อนข้างจะเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ ก็แสดงว่า Power Supply ของท่านเริ่มมีปัญหาแล้วครับ และมันก็จะเริ่มเจอ ปัญหาแนวๆนี้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนกะทั้ง Power Supply ของคุณไปสู่สุขติในไม่ช้านี้
ขอบคุณข้อมูลจาก http://sasukrongkwang.com/index.php/how-to-use-computer-content/52-how-to-use-in-computer-and-internet/225-powersupply-close-to-dead.html


6.Monitor  
               โปรแกรม F.lux เป็นโปรแกรมที่จะช่วย บำรุงสายตา จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ โดยโปรแกรม บำรุงสายตา F.lux จะปรับแสง ความสว่างไปตามวันเวลาในระหว่างวันอัตโนมัติ เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โปรแกรม F.lux จะช่วยให้แสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ เหมือนกับแสงในห้องที่คุณเล่นคอมพิวเตอร์อยู่นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ในเวลาตกเย็น โปรแกรม บำรุงสายตา F.lux จะปรับแสงให้เหมือนกับอยู๋ในอาคาร ส่วนถ้าเป็นในช่วงเช้าโปรแกรม บำรุงสายตา นี้ก็จะสว่างเหมือนกับดวงอาทิตย์ขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก http://software.thaiware.com/4235-F-lux.html
Category: articles