Fashion

    วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2558

    คอมพิวเตอร์ใช้ทำอะไรได้บ้าง


    คอมพิวเตอร์ใช้ทำอะไรได้บ้าง

    ในที่ทำงาน มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเก็บบันทึก วิเคราะห์ข้อมูล ทำงานวิจัย และจัดการโครงการต่างๆ ที่บ้าน คุณสามารถใช้คอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาข้อมูล เก็บรูปภาพและเพลง ติดตามข้อมูลทางบัญชี เล่นเกม และสื่อสารกับผู้อื่น—เหล่านี้เป็นเพียงความสามารถเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น
    นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมต่อกับ อินเทอร์เน็ต ซึ่งคือเครือข่ายที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์รอบโลกเข้าด้วยกัน การใช้อินเทอร์เน็ตสามารถทำได้โดยเสียค่าใช้บริการรายเดือนในเขตเมืองส่วนใหญ่ และในพื้นที่ที่มีประชากรน้อยลงมา ก็มีบริการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยอินเทอร์เน็ต คุณสามารถสื่อสารกับผู้คนรอบโลกและค้นหาข้อมูลได้มากมาย
    การใช้คอมพิวเตอร์แบบที่นิยมกันมากที่สุด ได้แก่

    เว็บ

    เวิลด์ไวด์เว็บ (โดยทั่วไปจะเรียกว่า Web หรือ เว็บ) คือคลังข้อมูลขนาดมหึมา เว็บคืออินเทอร์เน็ตส่วนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากว่าแสดงข้อมูลส่วนใหญ่ในรูปแบบที่ดึงดูดสายตา หัวข้อข่าว ข้อความ และรูปภาพสามารถรวมเข้าด้วยกันอยู่ใน เว็บเพจ เดียว—ซึ่งเหมือนกับหน้าในนิตยสาร—ที่มีเสียงและภาพเคลื่อนไหว เว็บไซต์ คือชุดของเว็บเพจที่เชื่อมต่อถึงกัน เว็บประกอบด้วยเว็บไซต์นับล้านไซต์และเว็บเพจเป็นพันล้านเพจ

    ตัวอย่างการท่องเว็บ (mahinclub.com)
    ตัวอย่างของเว็บเพจ (Microsoft Game Studios)
    การท่อง เว็บหมายถึงการสำรวจเว็บ คุณสามารถหาข้อมูลในเว็บในทุกเรื่องที่สามารถจินตนาการได้ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถอ่านข่าวและบทวิจารณ์ภาพยนตร์ ตรวจสอบตารางการเดินทางของสายการบิน ดูแผนที่ถนน ขอการพยากรณ์อากาศในเมืองที่คุณอยู่ หรือค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพได้ บริษัทส่วนใหญ่ หน่วยงานของรัฐบาล พิพิธภัณฑ์ และห้องสมุดต่างก็มีเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ บริการ หรือคอลเลกชันต่างๆ ของตน แหล่งข้อมูลอ้างอิง เช่น พจนานุกรมและสารานุกรม มีอยู่มากมายในเว็บ
    เว็บยังเป็นความเพลินใจของนักช้อปอีกด้วย เนื่องจากว่าคุณสามารถเรียกดูและซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ — เช่น หนังสือ เพลง ของเล่น เสื้อผ้า อุปกรณ์ไฟฟ้า และอื่นๆ อีกมากมาย — จากเว็บไซต์ของผู้ค้าปลีกต่างๆ และคุณยังสามารถซื้อและขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ที่ใช้ระบบประมูลสินค้าได้ด้วย

    อีเมล

    อีเมล (ชื่อย่อของ อิเล็กทรอนิกส์เมล) เป็นวิธีการที่สะดวกในการติดต่อกับผู้อื่น เมื่อคุณส่งข้อความอีเมล อีเมลจะไปถึงกล่องขาเข้าของผู้รับเกือบจะทันที โดยคุณสามารถส่งอีเมลให้หลายคนได้ในเวลาเดียวกัน และสามารถบันทึก พิมพ์ และส่งต่ออีเมลไปยังผู้อื่นได้ คุณสามารถส่ง แฟ้ม แทบทุกชนิดในข้อความอีเมล รวมทั้งแฟ้มเอกสาร รูปภาพ และเพลง และเมื่อคุณใช้อีเมล คุณไม่ต้องติดแสตมป์!

    ข้อความโต้ตอบแบบทันที

    ข้อความโต้ตอบแบบทันทีเป็นเหมือนการสนทนาแบบในเวลาจริงกับบุคคลอื่นหรือกลุ่มบุคคลอื่น เมื่อคุณพิมพ์และส่งข้อความโต้ตอบแบบทันที ผู้เข้าร่วมการสนทนาทุกคนจะมองเห็นข้อความนั้นได้ทันที สิ่งที่แตกต่างจากอีเมลคือผู้เข้าร่วมทุกคนจะต้องออนไลน์ (เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต) และอยู่หน้าคอมพิวเตอร์พร้อมกัน การสื่อสารด้วยข้อความโต้ตอบแบบทันทีเรียกว่า การสนทนา

    รูปภาพ เพลง และภาพยนตร์

    ถ้าคุณมีกล้องดิจิทัล คุณสามารถย้ายรูปภาพจากกล้องไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณ จากนั้นคุณสามารถพิมพ์รูปภาพ สร้างการนำเสนอภาพนิ่ง หรือใช้รูปภาพร่วมกับผู้อื่นทางอีเมลหรือโดยการติดประกาศรูปภาพบนเว็บไซต์ นอกจากนี้คุณยังสามารถฟังเพลงบนคอมพิวเตอร์ โดย การนำเข้า (โอนย้ายไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณ) เพลงจากซีดีเพลงหรือโดยการซื้อเพลงจากเว็บไซต์เพลง หรือปรับหาคลื่นของสถานีวิทยุนับพันๆ ที่ออกอากาศทางอินเทอร์เน็ต ถ้าคอมพิวเตอร์ของคุณมีเครื่องเล่นดีวีดี คุณสามารถชมภาพยนตร์ได้

    การเล่นเกม

    คุณชอบเล่นเกมหรือไม่ เกมคอมพิวเตอร์เป็นพันๆ เกม มีหลากหลายประเภทพร้อมเพื่อสร้างความบันเทิงให้คุณ ไม่ว่าคุณอยากจะจับพวงมาลัยแข่งรถ ต่อสู้สัตว์ประหลาดที่น่ากลัวในคุกมืด หรือสร้างอารยธรรมและอาณาจักร! มีเกมหลายเกมที่จะอนุญาตให้คุณแข่งกับผู้เล่นคนอื่นๆ รอบโลกผ่านทางอินเทอร์เน็ต Windows มีเกมไพ่ เกมปริศนา และเกมเชิงยุทธศาสตร์

    ชนิดของคอมพิวเตอร์

    ชนิดของคอมพิวเตอร์

    คอมพิวเตอร์มีขนาดและความสามารถแตกต่างกันไป ด้านหนึ่งเป็น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่มาก มีตัวประมวลผลที่เชื่อมโยงกันอยู่เป็นพันๆ ตัวที่รับหน้าที่ทำการคำนวณที่ซับซ้อนมาก ส่วนอีกด้านเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่ฝังตัวอยู่ในรถยนต์ ทีวี ระบบสเตอริโอ เครื่องคิดเลข และเครื่องใช้ต่างๆ คอมพิวเตอร์เหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อทำงานแบบจำกัด
    คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ พีซี ได้รับการออกแบบให้ใช้ได้คราวละหนึ่งคน หัวข้อนี้จะอธิบายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลชนิดต่างๆ ได้แก่ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แล็ปท็อป คอมพิวเตอร์มือถือ และแท็บเล็ตพีซี

    คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ

    คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้บนโต๊ะ โดยทั่วไปจะมีขนาดใหญ่กว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลชนิดอื่นๆ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะประกอบด้วยชิ้นส่วนที่แยกออกจากกัน ส่วนประกอบหลักที่เรียกว่า หน่วยระบบ มักจะเป็นเครื่องทรงสี่เหลี่ยมซึ่งวางอยู่บนหรือใต้โต๊ะ ส่วนประกอบอื่นๆ เช่น จอภาพ เมาส์ และแป้นพิมพ์ จะเชื่อมต่อกับหน่วยระบบ
    คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ
    คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ

    คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป

    คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป เป็นพีซีแบบเคลื่อนที่ได้ มีน้ำหนักเบาและมีหน้าจอที่บาง หรือมักจะเรียกกันว่า คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เพราะมีขนาดเล็ก แล็ปท็อปสามารถทำงานโดยใช้แบตเตอรี ดังนั้นคุณจึงสามารถนำแล็ปท็อปไปได้ทุกที่ อย่างไรก็ตาม แล็ปท็อปจะไม่เหมือนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เนื่องจากจะรวม CPU หน้าจอ และแป้นพิมพ์ไว้อยู่ในตัวเครื่องเดียวกัน หน้าจอจะพับลงบนแป้นพิมพ์เมื่อไม่ได้ใช้งาน
    คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป
    คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป

    คอมพิวเตอร์มือถือ

    คอมพิวเตอร์มือถือ หรือที่เรียกว่า เครื่องช่วยงานส่วนบุคคลแบบดิจิทัล (PDA) เป็นคอมพิวเตอร์ที่ทำงานด้วยแบตเตอรีและเล็กพอที่จะพกพาไปได้ทุกที่ แม้ว่าประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์มือถือจะไม่เท่ากับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือแล็ปท็อป แต่คอมพิวเตอร์มือถือก็มีประโยชน์สำหรับการกำหนดการนัดหมาย การเก็บที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ รวมถึงการเล่นเกมต่างๆ คอมพิวเตอร์มือถือบางเครื่องมีประสิทธิภาพสูงกว่านั้น เช่น สามารถใช้โทรศัพท์หรือใช้อินเทอร์เน็ตได้ แทนที่จะใช้แป้นพิมพ์ คอมพิวเตอร์มือถือมีหน้าจอสัมผัสที่คุณสามารถใช้โดยใช้นิ้วมือ หรือ สไตลัส (อุปกรณ์ชี้ที่มีรูปร่างเหมือนปากกา)
    คอมพิวเตอร์มือถือ
    คอมพิวเตอร์มือถือ

    แท็บเล็ตพีซี

    แท็บเล็ตพีซี คือพีซีเคลื่อนที่ที่รวมคุณลักษณะของแล็ปท็อปและคอมพิวเตอร์มือถือเข้าด้วยกัน แท็บเล็ตพีซีเหมือนกับแล็ปท็อป คือมีประสิทธิภาพมากและมีหน้าจอแบบในตัว แท็บเล็ตพีซีเหมือนกับคอมพิวเตอร์มือถือตรงที่อนุญาตให้คุณเขียนบันทึกหรือวาดภาพบนหน้าจอ โดยทั่วไปโดยใช้ ปากกาแท็บเล็ต แทนที่จะเป็นสไตลัส นอกจากนี้ยังสามารถแปลงลายมือของคุณให้เป็นข้อความแบบพิมพ์ได้ แท็บเล็ตพีซีบางเครื่องเป็นแบบ "พับ" โดยมีหน้าจอที่หมุนได้และเปิดออกเพื่อให้เห็นแป้นพิมพ์ที่อยู่ด้านล่างได้
    แท็บเล็ตพีซี
    แท็บเล็ตพีซี

    วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์

    ......สมัยโบราณมนุษย์รู้จักการนับด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น นับเศษไม้ ก้อนหิน ลูกปัด การใช้นิ้วมือ การขีดเป็นรอย ชาวจีนคิดประดิษฐ์เครื่องมือนับเรียกว่า “ลูกคิด” (Abacus) โดยได้แนวคิดจากการเอาลูกปัดร้อยเก็บเป็นพวงในสมัยโบราณ จึงนับได้ว่าลูกคิดเป็นเครื่องมือนับที่มนุษย์คิดขึ้นเป็นสิ่งแรกของโลกเมื่อประมาณ 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช และยังคงเป็นที่นิยมใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกคิดคำนวณของเด็ก ๆ ที่ฉลาด ครูได้นำเอาลูกคิดมาใช้ช่วยในการฝึกคิดให้กับเด็กและได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง

    ลูกคิด
    ความพยายามที่จะผลิตเครื่องมือนับเพื่อช่วยผ่อนแรงสมองที่จะต้องคิดคำนวณจำนวนเลขต่าง ๆ มีอยู่ตลอดเวลา จากเครื่องที่ใช้มือ มาใช้เครื่องจักร ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ซึ่งมีวิวัฒนาการตามลำดับดังนี้
    ......ค.ศ. 1617 : จอห์น เนเปียร์ (John Nepier) ชาวสก็อต ประดิษฐ์เครื่องคิดเลข “เนเปียร์ส โบนส์” (Nepier’s Bones)
    ......ค.ศ. 1632 : วิลเลี่ยม ออตเทรด (William Oughtred) ประดิษฐ์ไม้บรรทัดคำนวณ (Slide Rules) เพื่อใช้ในทางดาราศาสตร์ ถือเป็น คอมพิวเตอร์อนาลอก เครื่องแรกของโลก

    เบลส ปาสคาล

    Adding Machine ของ ปาสคาล
    ......ค.ศ. 1642 : เบลส ปาสคาล (Blaise Pascal: 1623 - 1662) ชาวฝรั่งเศส ประดิษฐ์เครื่องบวกเลขแบบมีเฟืองหมุนคือมีฟันเฟือง 8 ตัว เมื่อเฟืองตัวหนึ่งนับครบ 10 เฟืองตัวติดกันทางซ้ายจะขยับไปอีกหนึ่งตำแหน่ง ซึ่งหลักการนี้เป็นรากฐานของการพัฒนาเครื่องคำนวณ และถือว่า เครื่องบวกเลข (Adding Machine) ของปาสคาลเป็น เครื่องบวกเลขเครื่องแรกของโลก

    กอตฟริต ฟอน ไลบนิซ
    ......ค.ศ. 1673 : กอตฟริต ฟอน ไลบนิซ (Gottfried von Leibniz : 1646 - 1716) นักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์ ชาวเยอรมัน ออกแบบเครื่องคิดเลขแบบใช้เฟืองทดเพื่อทำการคูณด้วยวิธีการบวกซ้ำ ๆ กัน ไลบนิซเป็นผู้ค้นพบจำนวนเลขฐานสอง (Binary Number) ซึ่งประกอบด้วยเลข 0 และ 1 เป็นระบบเลขที่เหมาะในการคำนวณ เครื่องคิดเลขที่ไลบนิซสร้างขึ้น เรียกว่า Leibniz Wheel สามารถ บวก ลบ คูณ หาร ได้

    โจเซฟ มารี แจคการ์ด
    ......ค.ศ. 1804 : โจเซฟ มารี แจคการ์ด (Joseph Marie Jacquard : 1752 - 1834) ชาวฝรั่งเศส เป็นผู้คิดประดิษฐ์ Jacquard’s Loom เป็นเครื่องทอผ้าที่ควบคุมการทอผ้าลายสีต่าง ๆ ด้วยบัตรเจาะรู (Punched – card) จึงเป็นแนวคิดในการประดิษฐ์เครื่องเจาะบัตร (Punched – card machine) สำหรับเจาะบัตรที่ควบคุมการทอผ้าขึ้น และถือว่าเป็นเครื่องจักรที่ใช้โปรแกรมสั่งให้เครื่องทำงานเป็นเครื่องแรก
    ......ค.ศ. 1822 : ชาร์ลส์ แบบเบจ (Charles Babbage: 1792 - 1871) ศาสตราจารย์ทางคณิตศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ของอังกฤษ มีแนวความคิดสร้างเครื่องหาผลต่าง เรียกว่า Difference Engine โดยได้รับความช่วยเหลือจากราชสมาคม (Royal Astronomical Society) ของรัฐบาลอังกฤษ สร้างสำเร็จในปี ค.ศ. 1832

    ชาร์ลส์ แบบเบจ
     ......จากนั้นในปี ค.ศ. 1833 ชาร์ลส์ แบบเบจ ได้คิดสร้างเครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) ซึ่งแบ่งการทำงานออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนเก็บข้อมูล ส่วนควบคุม และส่วนคำนวณ โดยออกแบบให้ใช้ระบบพลังเครื่องยนต์ไอน้ำเป็นตัวหมุนเฟือง และนำบัตรเจาะรูมาใช้ในการบันทึกข้อมูล สามารถคำนวณได้โดยอัตโนมัติและเก็บผลลัพธ์ไว้ในหน่วยความจำก่อนแสดงผล ซึ่งจะเป็นบัตรเจาะรูหรือพิมพ์ออกทางกระดาษ แต่ความคิดของแบบเบจ ไม่สามารถประสบผลสำเร็จเนื่องจากเทคโนโลยีในสมัยนั้นไม่เอื้ออำนวย แบบเบจเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1871 ลูกชายของแบบเบจคือ Henry Prevost Babbage ดำเนินการสร้างต่อมาอีกหลายปีและสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1910
     

    Difference
    Analytical Engine
     หลักการของแบบเบจ ถูกนำมาใช้ในการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่จนถึงปัจจุบัน แบบเบจจึงได้รับการยกย่องให้เป็น บิดาแห่งคอมพิวเตอร์
    http://www.chakkham.ac.th/technology/computer/web_files/ada20copy.jpeg
    Lady Ada Augusta Lovelace
    ......เลดี้ เอดา ออกัสตา ลัฟเลซ (Lady Ada Augusta Lovelace) นักคณิตศาสตร์ผู้ร่วมงานของแบบเบจ เป็นผู้ที่เข้าใจในผลงานและแนวความคิดของแบบเบจ จึงได้เขียนบทความอธิบายเทคนิคของการเขียนโปรแกรม วิธีการใช้เครื่องเพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เป็นครั้งแรก ทำให้เกิดความเข้าใจในผลงานของแบบเบจได้ดีขึ้น Ada จึงได้รับการยกย่องให้เป็น นักโปรแกรมคนแรกของโลก
    ......ค.ศ.1850 : ยอร์ช บูล (George Boole) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้สร้างแนวคิดเกี่ยวกับระบบพีชคณิตแบบใหม่ เรียกว่า Boolean Algebra เพื่อใช้หาข้อเท็จจริงจากเหตุผลต่าง ๆ และแต่งตำราเรื่อง “The Laws of Thoughts” ว่าด้วยเรื่องของการใช้เครื่องหมาย AND, OR, NOT ซึ่งเป็นรากฐานทางคณิตศาสตร์ให้กับการพัฒนาทางด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เช่น สวิตช์ปิดหรือเปิด การไหลของกระแสไฟฟ้า ไหลหรือไม่ไหล ตัวเลขจำนวนบวกหรือลบ เป็นต้น โดยที่ผลลัพธ์ที่ได้จากพีชคณิตจะมีเพียง 2 สถานะคือ จริงหรือเท็จเท่านั้น ซึ่งอาจจะแทนจริงด้วย 1 และแทนเท็จด้วย 0
    ......ค.ศ. 1884 : ดร.เฮอร์มาน ฮอลเลอริธ (Dr.Herman Hollerith) นักสถิติชาวอเมริกัน เป็นผู้คิดประดิษฐ์บัตรเจาะรูสำหรับเก็บข้อมูล โดยได้แนวคิดจากบัตรควบคุมการทอผ้าของ Jacquard และวิธีการหนีบตั๋วรถไฟของเจ้าหน้าที่รถไฟ นำมาดัดแปลงและประดิษฐ์เป็นบัตรเก็บข้อมูลขึ้น และทำการสร้างเครื่องคำนวณไฟฟ้าที่สามารถอ่านบัตรที่เจาะได้ ทำให้สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก
    ......เมื่อปี ค.ศ. 1880 สำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรสหรัฐอเมริการได้ทำการสำรวจสำมะโนประชากรโดยใช้แรงงานคนในการประมวลผล ต้องใช้เวลาถึง 7 ปีครึ่งยังไม่แล้วเสร็จ ข้อมูลที่ได้ไม่แน่นอนและไม่ค่อยถูกต้อง ต่อมา ค.ศ. 1890 สำนักงานฯ จึงได้ว่าจ้าง ฮอลเลอริธ มาทำการประมวลผลการสำรวจ ปรากฏว่าเมื่อใช้เครื่องทำตารางข้อมูล (Tabulating machine) และหีบเรียงบัตร (Sorting) ของฮอลเลอริธแล้ว ใช้เวลาในการประมวลผลลดลงถึง 3 ปี
    ......ค.ศ. 1896 : ฮอลเลอริธ ได้ตั้งบริษัทผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์การประมวลผลด้วยบัตรเจาะรู และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทไอบีเอ็ม (International Business Machines Corporation) ในปี ค.ศ. 1924 

    ......ค.ศ.1937 : โฮเวิร์ด เอช ไอเคน (Professor Howard H. Aiken) ศาสตราจารย์ทางคณิตศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard) เป็นผู้ออกแบบและสร้างเครื่องคำนวณตามหลักการของแบบเบจได้สำเร็จ โดยนำเอาแนวคิดของ Jacquard และ Hollerith มาใช้ในการสร้างและได้รับการสนับสนุนจากวิศวกรของบริษัทไอบีเอ็ม สร้างสำเร็จในปี ค.ศ. 1943 ในชื่อว่า Automatic Sequence Controlled Calculator (ASCC) หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า MARK I Computer นับเป็นเครื่องคำนวณเครื่องแรกของโลกที่ทำงานโดยอัตโนมัติทั้งเครื่อง จัดเป็น Digital Computer และเป็นเครื่องที่ทำงานแบบElectromechanical คือเป็นแบบ กึ่งไฟฟ้ากึ่งจักรกล
    ......การส่งคำสั่งและข้อมูลเข้าไปในเครื่อง ใช้เทปกระดาษเจาะรู เครื่องมีขนาดใหญ่มาก ประกอบด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ ประมาณ 7 แสนชิ้น ใช้สายไฟยาวกว่า 500 ไมล์ ความยาวเครื่อง 55 ฟุต สูง 8 ฟุต กว้าง 3.5 ฟุต ใช้เวลาในการบวกหรือลบประมาณ 1/3 วินาที การคูณ 5 วินาที การหาร 16 วินาที นับว่าช้ามากถ้าเทียบกับปัจจุบัน เครื่อง MARK I ถูกนำมาใช้ทำงานตลอดวันตลอดคืนนานถึง 15 ปีเต็ม MARK I ยังไม่ใช่เครื่องคอมพิวเตอร์ตามแนวความคิดในปัจจุบันอย่างแท้จริง เป็นเพียงเครื่องคิดเลขไฟฟ้าขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจในขณะนั้น
    ......ค.ศ. 1943 : เจ เพรสเปอร์ เอ็คเคิร์ท (J. Presper Eckert) นักวิศวกรและ จอห์น มอชลี (John Mauchly) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ได้ช่วยกันสร้างเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) สร้างสำเร็จในปี ค.ศ. 1946 นับเป็น เครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลก เรียกว่า ENIAC (Electronic Numerical Integrator and Calculator)

    ENIAC
    ใช้หลอดสุญญากาศมากกว่า 18,000 หลอด ติดตั้งในห้องขนาด 20 X 40 ฟุต ตัวเครื่องทั้งระบบหนักเกือบ 30 ตัน บวกเลขได้ 5,000 ครั้งต่อวินาที การคูณและหารทำได้เร็ว 6 ไมโคร วินาที นับว่าเร็วขึ้นมาก เมื่อเปรียบเทียบการทำงานกับ MARK I แล้ว ถ้า ENIAC ทำงาน 1 ชั่วโมง จะเท่ากับเครื่อง MARK I ทำงานประมาณ 1 สัปดาห์ แต่การสั่งงานและการควบคุมยังต้องใช้สวิตช์และแผงเสียบปลั๊กทางสายไฟ ทุกครั้งที่เครื่องทำงานจะทำให้หลอดไฟฟ้าทั้งหมดสว่างขึ้น เป็นผลให้เกิดความร้อน หลอดไฟจึงมักจะขาดบ่อย ต้องตั้งเครื่องไว้ในห้องที่มีการปรับอุณหภูมิห้องให้เพียงพอ ENIAC เริ่มใช้งานในปี ค.ศ. 1946 และใช้งานประมาณ 10 จึงเลิกใช้
    ......ในระหว่างนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางการทหารสหรัฐอเมริกา ทำการวิจัยเกี่ยวกับโครงการสร้างลูกระเบิดปรมาณู ได้นำเอาเครื่อง MARK I และ ENIAC มาใช้ในโครงการนี้ด้วย แต่ต้องการเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ค.ศ. 1945 ดร.จอห์น ฟอน นอยมานน์ (Dr.John Von Neumann) นักคณิตศาสตร์ นักตรรกวิทยา และนักฟิสิกส์ แห่งมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน พร้อม ร.ท.เฮอร์มาน โกลด์สไตน์ (Herman Goldstein) เจ้าหน้าที่สื่อสารกองทัพบกและอดีตศาสตราจารย์คณิตศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน และ ดร.อาเธอร์ เบิร์คส สมาชิกแผนกปรัชญาของมิชิแกน ได้ร่วมมือกันสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถเก็บคำสั่งการปฏิบัติงานทั้งหมดไว้ภายในเครื่องได้ เปลี่ยนแปลงข้อมูลและเปรียบเทียบได้ และใช้ระบบตัวเลขฐานสองภายในเครื่อง ชื่อว่า EDVAC (Electronic Discrete Variable Automatic Computer) และสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1952
    ......ค.ศ. 1949 : หลังจากที่มอชลีและเอ็คเคิร์ท ได้ร่วมมือกันจัดตั้งบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ออกขาย แต่ประสบปัญหาทางการเงิน จึงขายกิจการให้กับบริษัท Speery Rand Corporation และได้ร่วมมือกันสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ UNIVAC I (Universal Automatic Computer I) สำเร็จในปี ค.ศ. 1951 โดยใช้เทปแม่เหล็กเป็นสื่อบันทึกข้อมูล นับว่าเป็นคอมพิวเตอร์สำหรับใช้งานทางธุรกิจเป็นเครื่องแรกของโลก โดยติดตั้งให้กับบริษัท General Electric Appliance ในปี ค.ศ. 1954 ต่อมาบริษัท Speery Rand Corporation เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทยูนิแวคและยูนิซิส จนกระทั่งบริษัทไอบีเอ็ม ได้ก้าวเข้าสู่วงการคอมพิวเตอร์ และได้พัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์จนเจริญก้าวหน้ามาตามลำดับ
    ......ค.ศ. 1953 : บริษัทไอบีเอ็ม สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกคือ IBM 701 และในปี ค.ศ. 1954 สร้างเครื่อง IBM 650 และเป็นแบบที่ใช้กันแพร่หลายในระยะ 5 ปีต่อมา เป็นเครื่องที่ใช้หลอดสุญญากาศ ต่อมาปรับปรุงดัดแปลงมาใช้วงแหวนแม่เหล็ก (Magnetic Core) เป็นวงแหวนเล็ก ๆ โดยจัดวางชิดกันเป็นแผ่นคล้ายรังผึ้ง เวลาเครื่องทำงาน ความร้อนจึงไม่สูง และเมื่อมีการนำทรานซิสเตอร์มาใช้แทนหลอดสุญญากาศ ทำให้สามารถลดขนาดเครื่องลงได้มาก ความร้อนลดลง ไม่เปลืองเนื้อที่ภายในเครื่อง ต้นปี ค.ศ. 1964 บริษัทไอบีเอ็ม สร้างเครื่อง IBM System 360 ใช้หลักไมโครอิเล็กทรอนิกส์ มีความในการทำงานสูงขึ้น ขนาดของเครื่องเล็กลง และมีระบบหน่วยความจำที่ดีกว่าเดิม
    ......คอมพิวเตอร์ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากหลาย ๆ กลุ่ม เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า วิทยาการที่นำสมัย ทำให้คอมพิวเตอร์เป็นที่ต้องการมากขึ้น การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้มากขึ้น คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันจึงมีประสิทธิภาพสูง ขนาดของเครื่องเล็กลง ราคาถูก เป็นที่นิยมใช้กันทั่วไป และในอนาคตคาดว่า คอมพิวเตอร์ จะกลายเป็นอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นในการใช้งานเช่นเดียวกับเครื่องไฟฟ้าในบ้านประเภทอื่น ๆ

    ความหมายของคอมพิวเตอร์

    
    คอมพิวเตอร์ (computer)
     คอมพิวเตอร์ (อังกฤษ: computer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์ เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการที่ประกอบด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์และไอซี (Integrated Circuit : IC) ต่างๆ มากมาย ซึ่งสามารถจดจำ ประมวลผลข้อมูล เปรียบเทียบ ตัดสินใจ ได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย

    คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป

    หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่างๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คำสั่งต่างๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน

    คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน

    คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit)โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้นคอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินขับไล่ และของเล่นชนิดต่างๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม
    ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก http://xn--42ca5c9anbme3af7de0d8a0e7fogqc.blogspot.com/2012/12/blog-post_5618.html
    Category: articles
    ขั้นตอนการเปิดเว็บไซต์

    ขั้นตอนการเปิดเว็บไซต์ สร้างเว็บ ง่ายๆกับ MyReadyWeb ทำได้ดังนี้
    ขั้นตอนที่ 1
    เข้าไปยังหน้าสมัครเปิดเว็บไซต์ http://www.myreadyweb.com/member/register/
    เว็บขายของ
    ขั้นตอนที่ 2
    ในขั้นตอนการสมัคร ให้สังเกตเครื่องหมาย (*) คือ ข้อมูลที่จำเป็นต้องกรอก เพื่อประโยชน์ต่อผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์
    เว็บขายของออนไลน์
    2.1 กำหนดชื่อเว็บที่คุณต้องการให้ผู้ใช้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณได้ กรอกเฉพาะชื่อ สามารถกำหนดชื่อได้เฉพาะ a-z, 0-9 และ - (ขีดกลาง)
    เว็บขายของฟรี
    2.2 เลือกประเภทเว็บไซต์ เช่น ถ้าต้องการเปิดเว็บขายของออนไลน์ เลือกเป็น "เว็บขายสินค้า" หรือถ้าต้องเปิดเว็บบริษัท เว็บประชาสัมพันธ์ เว็บไซต์ทั่วๆไป เลือกเป็น "เว็บทั่วไป"
    ขายของ
    2.3 กำหนดชื่อผู้ใช้ และ รหัสผ่าน เพื่อใช้สำหรับเข้าไปจัดการระบบ เพิ่ม/แก้ไข/ลบ ข้อมูลต่างๆ สามารถกำหนดชื่อได้เฉพาะ a-z และ 0-9
    สมัครเปิดเว็บไซต์
    2.4 กรอกชื่อ และ นามสกุล โดยไม่ต้องมีคำนำหน้าชื่อ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ติดต่อ
    ขายของ
    2.5 กรอกอีเมล ที่ใช้งานจริง เพื่อใช้สำหรับติดต่อผู้ใช้หรือลูกค้ากู้คืนรหัสผ่าน(กรณีที่ลืมรหัสผ่าน) และใช้รับข่าวสาร
    2.6 กรอกเบอร์โทรศัพท์ ที่สามารถใช้ติดต่อได้สะดวก ไว้ใช้ในกรณีที่ลูกค้าติดต่อเข้ามา เพื่อสอบถามข้อมูล รายละเอียดสินค้า หรือบริการ
    ขั้นตอนที่ 3
    อัพเดทข่าวสาร ความเคลื่อนไหว ไปกับ Facebook fan page ของเรา
    เพียงแค่กด Like ท่านก็จะได้รับข่าวสาร สิทธิพิเศษ ได้อย่างรวดเร็ว
    ทำเว็บ
    ขั้นตอนที่ 4
    อ่านข้อตกลงในการใช้งาน เพื่อประโยชน์สูงสุดกับคุณเอง หลังจากที่อ่านและทำความเข้าใจแล้ว ให้กดทำเครื่องหมายถูก "ยอมรับข้อตกลง" แล้วกดปุ่ม "Submit" ได้ทันที
    ขายของออนไลน์
    ขั้นตอนที่ 5
    หลังจากกดปุ่ม "Submit" แล้วระบบจะส่งชื่อผู้ใช้ และ รหัสผ่าน ไปยังอีเมลของคุณอีกครั้ง สามารถใช้งานระบบได้ทันที
    เว็บขายของ
    *กรณีที่ไม่ได้รับอีเมล สามารถติดต่อได้ที่ support@myreadyweb.com หรือแจ้งผ่าน แบบฟอร์มติดต่อเรา
    เพียงเท่านี้ก็สมัครเปิดเว็บไซต์กับ MyReadyWeb ได้อย่างสมบูรณ์แบบ สามารถศึกษาคู่มือการใช้งานได้ฟรี

    ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก http://www.myreadyweb.com/step.html
    Category: articles
    ภาษาคอมพิวเตอร์

    ความหมายของภาษาคอพิวเตอร์
    ภาษาคอมพิวเตอร์ หมายถึง ภาษาใดๆที่ผู้ใช้งานใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ด้วยกัน แล้วคอมพิวเตอร์สามารถ
    ทำงานตามคำสั่งนั้นได้ คำนี้มักใช้เรียกแทนภาษาโปรแกรม แต่ความเป็นจริงภาษาโปรแกรมคือส่วนหนึ่งของภาษาคอมพิวเตอร์เท่านั้น
    และมีภาษาอื่นๆที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น HTML เป็นทั้งภาษามาร์กอัปและภาษาคอมพิวเตอร์ด้วย
    แม้ว่ามันจะไม่ใช่ภาษาโปรแกรม หรือภาษาเครื่องนั้นก็นับเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งโดยทางเทคนิคสามารถใช้
    ในการเขียนโปรแกรมได้ แต่ก็ไม่จัดว่าเป็นภาษาโปรแกรม
    ภาษาคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
    -ภาษาระดับสูง (High level)
    -ภาษาระต่ำ (low level)
    ภาษาระดับสูงถูกออกถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานง่ายและสะดวกสบายกว่าภาษาระดับต่ำ โปรแกรมที่เขียนถูกต้อง
    ตามเกณฑ์และไวยากรณ์ของภาษาจะถูกแปล (Compile) ไปเป็นภาษาระดับต่ำเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถ
    นำไปใช้งานหรือปฏิบัติตามคำสั่งได้ต่อไป ซอฟต์แวร์สมัยใหม่ส่วนมากเขียนด้วยภาษาระดับสูง แปลไป
    เป็นออบเจกต์โค้ด (objet code) แล้วเปลี่ยนเป็น ชุดคำสั่งในภาษาเครื่อง

    ภาษาคอมพิวเตอร์อาจแบ่งเป็นกลุ่มได้เป็นอีกสองประเภทคือ ภาษาที่มนุษย์อ่านออก (human-readable)
    และภาษาที่มนุษย์อ่านไม่ออก (non human-readable) ภาษาที่มนุษย์อ่านออกถูกออกแบบมา
    เพื่อให้มนุษย์สามารถเข้าใจและสื่อสารได้โดยตรงกับคอมพิวเตอร์ส่วนภาษาที่มนุษย์อ่านไม่ออกจะมีโค้ดบางส่วน
    ที่ไม่อาจอ่านเข้าใจได้แต่ออกแบบมาเพื่อให้โค้ดกระชับซึ่งคอมคอมพิวเตอร์จะสามารถประมวลผลได้ง่าย
    ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์
    -  ภาษาโปรแกรม
    -  ภาษาคริปต์
    -  ภาษามาร์กอัป
    -  ภาษาสอบถาม 

    วิวัฒนาการของภาษาคอมพิวเตอร์
    ในกระบวนการสื่อสารเบื้องต้นนั้นประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น ผู้ส่งสาร ผู้รับสาร สารหรือข้อความ
    สื่อกลางและ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร ซึ่งภาษาที่ใช้สื่อสารนี้ถ้าฝ่ายผู้ส่งสารและผู้รับสารสามารถเข้าใจกันได้
    ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าทั้งผู้ส่งสาร และผู้รับสาร ไม่สามารถสื่อสารเข้าใจกันได้อาจจะเพราะต่างเชื้อชาติ
    ต่างภาษา ก็อาจจะต้องใช้ตัวกลาง มาช่วยในการสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันได้
    กระบวนการสื่อสารระหว่างมนุษย์และคอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน คือจะเกี่ยวข้องกับมนุษย์และคอมพิวเตอร์เป็นหลัก
    คอมพิวเตอร์นั้นรู้ และเข้าใจ แต่เฉพาะภาษาเครื่องซึ่งอยู่ในรูปของเลขฐานสอง คือ 0 และ 1 เท่านั้นดังนั้นเมื่อใดก็ตาม
    ที่มนุษย์ ต้องการสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ ก็ต้องเขียนให้อยู่ ในรูปของเลขฐานสองเท่านั้น เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถ
    ทำงานได้ตามที่คอมพิวเตอร์เข้าใจแต่การเขียนคำสั่งในลักษณะของภาษาเครื่อง ซึ่งประกอบด้วยเลขฐานสองนั้น
    มีความยุ่งยาก และยากที่จะเข้าใจได้อีกทั้งหากเกิดความผิดพลาดในการเข้ารหัสเลขฐานสอง ก็ยังยุ่งยาก
    ในการแก้ไขด้วยมนุษย์จึงพัฒนาการและปรับปรุงวิธีการติดต่อสื่อสารและสั่งงานคอมพิวเตอร์ ให้สามารถ
    เข้าใจกันได้ง่าย ซึ่งตัวกลางที่มนุษย์ใช้ในกระบวนการนี้เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์
    ภาษาคอมพิวเตอร์ เป็นสัญลักษณ์ที่มนุษย์พัฒนาขึ้นมาเพื่อควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ และสั่งการ
    ให้คอมพิวเตอร์ สามารถทำงาน ได้ตามที่มนุษย์ต้องการ เริ่มแรกนั้นการสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ต้องเขียน
    คำสั่งอยู่ในรูปของเลขฐานสองซึ่งประกอบด้วยเลข 0 และ 1 จึงทำให้การเขียนโปรแกรมควบคุมการทำงาน
    ของคอมพิวเตอร์ยุ่งยากมาก เพราะถ้าเข้ารหัสผิดพลาด
    การทำงานของคอมพิวเตอร์ก็จะผิดพลาด หรือได้ผลลัพธ์ไม่ตรงตามจุดประสงค์ที่ต้องการต่อมามนุษย์
    จึงพัฒนารูปแบบของภาษาขึ้นมาใหม่โดยใช้รหัสข้อความในภาษาอังกฤษที่เข้าใจได้ง่าย โดยมีกฏเกณฑ์ต่างๆ
    ของภาษาแตกต่างกันไป ภาษาคอมพิวเตอร์ปัจจุบันมีหลายภาษามากมาย แต่ละภาษาก็มีความยากง่าย
    และมีวัตถุประสงค์ ของภาษาแตกต่างกันไปดังนั้นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ จึงจำเป็นต้องเลือกใช้ภาษา
    คอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับงาน ที่ต้องการพัฒนา และความสามารถในการใช้ภาษาคอมพิวเตรืของบุคคลนั้นๆ

    ยุคของภาษาคอมพิวเตอร์
    ภาษาคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาหรือมีวิวัฒนาการมาโดยลำดับเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ โดยจะสามารถ
    แบ่งออกเป็นยุค หรือเป็นรุ่นของภาษา (Generation)ซึ่งในยุคหลัง ๆจะมีการพัฒนาภาษาให้มีความสะดวก
    ในการอ่านออกและเขียนง่ายขึ้นกว่าภาษาในยุคแรก ๆ เนื่องจากจะมีโครงสร้างภาษาใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษ
    สามารถแบ่งภาษาคอมพิวเตอร์ออกได้เป็น 5
    1. ภาษาเครื่อง (machine language)
    2. ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language)
    3. ภาษาชั้นสูง (High level Langu)
    4. ภาษาขั้นสูงมาก (Very High level Language)
    5. ภาษาธรรมชาติ (National Language )

    ระดับของภาษาคอมพิวเตอร์
    มนุษย์ใช้ภาษาในการสื่อสารมาตั้งแต่สมัยโบราณ การใช้ภาษาเป็นเรื่องที่มนุษย์พยายามถ่ายทอดความคิดและ
    ความรู้สึกต่าง ๆ เพื่อการโต้ตอบและสื่อความหมาย ภาษาที่มนุษย์ใช้ติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน เช่น ภาษาไทย
    ภาษาอังกฤษ หรือภาษาจีน ต่างเรียกว่า “ภาษาธรรมชาติ” (Natural Language) เพราะมีการศึกษา ได้ยิน
    ได้ฟังกันมาตั้งแต่เกิดการใช้งานคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ทำงานตามที่ต้องการ
    จำเป็นต้องมีการกำหนดภาษา สำหรับใช้ติดต่อสั่งงานกับคอมพิวเตอร์ ภาษาคอมพิวเตอร์จะเป็น ”ภาษาประดิษฐ์
    (Artificial Language) ที่มนุษย์คิดสร้างมาเอง เป็นภาษาที่มีจุดมุ่งหมายเฉพาะ มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวและจำกัด
    คืออยู่ในกรอบให้ใช้คำและไวยากรณ์ที่กำหนดและมีการตีความหมายที่ชัดเจน จึงจัดภาษาคอมพิวเตอร์เป็น
    ภาษาที่มีรูปแบบเป็นทางการ (Formal Language) ต่างกับภาษาธรรมชาติที่มีขอบเขตกว้างมาก ไม่มีรูปแบบ
    ตายตัวที่แน่นอน กฎเกณฑ์ของภาษาจะขึ้นกับหลักไวยากรณ์และการยอมรับของกลุ่มผู้ใช้นั้น ๆ
    ภาษาคอมพิวเตอร์อาจแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ ภาษาเครื่อง (Machine Language) ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language)
    และภาษาระดับสูง (High Level Language)
    1. ภาษาเครื่อง (Machine Language) การเขียนโปรแกรมเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานในยุคแรก ๆ
    จะต้องเขียนด้วยภาษาซึ่งเป็นที่ยอมรับของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า “ภาษาเครื่อง” ภาษานี้ประกอบด้วยตัวเลขล้วน
    ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ทันที ผู้ที่จะเขียนโปรแกรมภาษาเครื่องได้ ต้องสามารถจำรหัสแทนคำสั่งต่างๆ ได้
    และในการคำนวณต้องสามารถจำได้ว่าจำนวนต่าง ๆ ที่ใช้ในการคำนวณนั้นถูกเก็บไว้ที่ตำแหน่งใด ดังนั้นโอกาสที่
    จะเกิดความผิดพลาดในการเขียนโปรแกรมจึงมีมาก นอกจากนี้เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละระบบมีภาษาเครื่องที่
    แตกต่างกันออก ทำให้เกิดความไม่สะดวกเมื่อมีการเปลี่ยนเครื่องคอมพิวเตอร์เพราะจะต้องเขียนโปรแกรมใหม่ทั้งหมด
    2. ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language)
    เนื่องจากภาษาเครื่องเป็นภาษาที่มีความยุ่งยากในการเขียนดังได้กล่าวมาแล้ว จึงไม่มีผู้นิยมและมีการใช้น้อย ดังนั้น
    ได้มีการพัฒนาภาษาคอมพิวเตอร์ขึ้นอีกระดับหนึ่ง โดยการใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นรหัสแทนการทำงาน การใช้และ
    การตั้งชื่อตัวแปรแทนตำแหน่งที่ใช้เก็บจำนวนต่าง ๆ ซึ่งเป็นค่าของตัวแปรนั้น ๆ การใช้สัญลักษณ์ช่วยให้การเขียนโปรแกรมนี้เรียกว่า
    “ภาษาระดับต่ำ”ภาษาระดับต่างเป็นภาษาที่มีความหมายใกล้เคียงกับภาษาเครื่องมากบางครั้งจึงเรียกภาษานี้ว่า
    “ภาษาอิงเครื่อง” (Machine – Oriented Language) ตัวอย่างของภาษาระดับต่ำ ได้แก่ ภาษาแอสเซมบลี เป็นภาษา
    ที่ใช้คำในอักษรภาษาอังกฤษเป็นคำสั่งให้เครื่องทำงาน เช่น ADD หมายถึง บวก SUB หมายถึง ลบ เป็นต้น การใช้คำเหล่านี้
    ช่วยให้การเขียนโปรแกรมง่ายขึ้นกว่าการใช้ภาษาเครื่องซึ่งเป็นตัวเลขล้วน ดังตารางแสดงตัวอย่างของภาษาระดับต่ำและ
    ภาษาเครื่องที่สั่งให้มีการบวกจำนวนที่เก็บอยู่ในหน่วยความจำ
    ตารางที่1 แสดงความสัมพันธ์ของคำสั่งในภาษาระดับต่ำและภาษาเครื่อง
    ภาษาระดับต่ำ
    ภาษาเครื่อง
    รหัสเลขฐานสิบหก

    MOV AL,05 
    10110000 00000101 
    B0 05
    MOV BL,08 
    10110011 00001000 
    B3 08

    ADD AL,BL 
    00000000 11011000 
    00 D8

    MOV CL,AL 
    10001000 11000001 
    88 C1
    จากตารางบรรทัดแรก 10110000 00000101 เป็นคำสั่งให้นำจำนวน 5 (หรือเขียนในรูปของเลขฐานสองเป็น 00000101)
    ไปเก็บในรีจิสเตอร์ชื่อ AL โดยส่วนแรก 10110000 คือรหัสคำสั่ง MOV ซึ่งเป็นการเคลื่อนย้ายข้อมูลจำนวนมาเก็บไว้ในรีจิสเตอร์ AL
    บรรทัดที่สอง 10110011 00001000 เป็นคำสั่งให้นำจำนวน 8 (หรือเขียนในรูปของเลขฐานสองเป็น 00001000)
    ไปเก็บในรีจิสเตอร์ชื่อ BL โดยส่วนแรก 10110011 คือรหัสคำสั่ง MOV ซึ่งเป็นการเคลื่อนย้ายข้อมูลจำนวนมาเก็บไว้ในรีจิสเตอร์ BL
    บรรทัดที่สาม เป็นคำสั่งการบวกระหว่างรีจิสเตอร์ AL กับ BL หรือนำ 5 บวก 8 ผลลัพธ์เก็บในรีจิสเตอร์ AL
    บรรทัดที่สี่ เป็นการนำผลลัพธ์จากรีจิสเตอร์ชื่อ AL ไปเก็บไว้ในรีจิสเตอร์ชื่อ CL
    การใช้โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาแอสเซมบลีนั้น เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานได้ทันที จำเป็นต้องมีการแปล
    โปรแกรมในการแปลที่มีชื่อว่า “แอสเซมเบลอร์” (Assembler) ซึ่งแตกต่างไปตามเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละชนิด
    ดังนั้นแอสเซมเบลอร์ของเครื่องชนิดหนึ่งจะไม่สามารถใช้แปลโปรแกรมภาษาแอสเซมบลีของเครื่องชนิดอื่นๆ
    ได้ภาษาแอสเซมบลีนี้ยังคงใช้ยาก เพราะผู้เขียนโปรแกรมจะต้องเข้าใจในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างละเอียด
    ต้องรู้ว่าจำนวนที่จะนำมาคำนวณนั้นอยู่ ณ ตำแหน่งใดในหน่วยความจำในทำนองเดียวกับการเขียนโปรแกรมเป็น
    ภาษาเครื่อง ภาษาแอสเซมบลีจึงมีผู้ใช้น้อย และมักจะใช้ในกรณีที่ต้องการควบคุมการทำงานภายในของตัวเครื่องคอมพิวเตอร์
    3 ภาษาระดับสูง (High Level Language)
    ภาษาระดับสูงเป็นภาษาที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเขียนโปรแกรมกล่าวคือลักษณะของคำสั่ง
    จะประกอบด้วยคำต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษ ซึ่งผู้อ่านสามารถเข้าใจความหมายได้ทันที ผู้เขียนโปรแกรมจึงเขียน
    โปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงได้ง่ายกว่าเขียนด้วยภาษาแอสเซมบลีหรือภาษาเครื่อง ภาษาระดับสูงมีมากมายหลายภาษา
    อาทิเช่น ภาษาฟอร์แทรน (FORTRAN) ภาษาโคบอล (COBOL) ภาษาปาสคาล (Pascal) ภาษาเบสิก(BASIC)
    ภาษาวิชวลเบสิก (Visual Basic) ภาษาซี (C) และภาษาจาวา (Java) เป็นต้น โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาระดับสูง
    แต่ละภาษาจะต้องมีโปรแกรมที่ทำหน้าที่แปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง เช่น โปรแกรมแปลภาษาฟอร์แทรน
    เป็นภาษาเครื่อง โปรแกรมแปลภาษาปาสคาลเป็นภาษาเครื่อง คำสั่งหนึ่งคำสั่งในภาษาระดับสูงจะถูกแปลเป็น
    ภาษาเครื่องหลายคำสั่ง

    ภาษาระดับสูงที่จะกล่าวถึงในที่นี้ ได้แก่

    1) ภาษาฟอร์แทรน (FORmula TRANstation : FORTRAN)
    จัดเป็นภาษาระดับสูงที่เก่าแก่ที่สุด ได้รับการคิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรก ราว พ.ศ. 2497 โดยบริษัท ไอบีเอ็ม
    เป็นภาษาที่เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการคำนวณ เช่น งานทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และ
    งานวิจัยต่าง ๆ เนื่องจากแนวคิดในการเขียนโปรแกรมในระยะหลังนี้เปลี่ยนมานิยมการเขียนโปรแกรม
    แบบโครงสร้างมากขึ้น ลักษณะของคำสั่งภาษาฟอร์แทรนแบบเดิมไม่เอื้ออำนวยที่จะให้เขียนได้ จึงมี
    การปรับปรุงโครงสร้างของภาษาฟอร์แทรนให้สามารถเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้างขึ้นมาได้ในปี พ.ศ. 2509
    เรียกว่า FORTRAN 66 และในปี พ.ศ. 2520 สถาบันมาตรฐานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา
    (American National Standard Institute หรือ ANSI) ได้ปรับปรุง FORTRAN 66 และยอมรับให้เป็นภาษาฟอร์แทรน
    ที่เป็นมาตรฐาน เรียกว่า FORTRAN 77 ใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีตัวแปลภาษานี้
    ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา FORTRAN
    FORTRAN PROGRAM
    SUM = 0
    COUNTER = 0
    WRITE ( 6 , 60 )
    READ ( 5 , 40 ) NUMBER
    1 IF ( NUMBER) .EQ. 999 ) GOTO 2
    SUM = SUM + NUMBER
    COUNTER = COUNTER + 1
    WRITE ( 6 , 70 )
    READ ( 5 , 70 ) NUMBER
    GOTO 1
    2 AVERAGE = SUM / COUNTER
    WRITE ( 6 , 80 ) AVERAGE
    STOP
    END
    2) ภาษาโคบอล (Common Business Oriented Language : COBOL)
    เป็นภาษาที่พัฒนาขึ้นในราว พ.ศ. 2502 ต่อมาได้รับการปรับปรุงจากคณะกรรมการซึ่งเป็นตัวแทนของ
    หน่วยงานธุรกิจและรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา เป็นภาษาโคบอลมาตรฐานในปี พ.ศ. 2517 เป็นภาษาที่
    เหมาะสมสำหรับงานด้านธุรกิจ เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ส่วนมากมีโปรแกรมแปลภาษาโคบอล
    ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา COBOL
    IF SALES-AMOUNT IS GREATER THAN SALES-QUOTA
    COMPUTE COMMISSION = MAX-RATE * SALES - AMOUNT
    ELSE
    COMPUTE COMMISSION = MIN-RATE * SALES - AMOUNT
    3) ภาษาเบสิก (Beginner’s All – purpose Symbolic Instruction Code : BASIC)
    เป็นภาษาที่ได้รับการคิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่วิทยาลัยดาร์ทมัธ (Dartmouth College) และเผยแพร่
    เป็นทางการในปี พ.ศ. 2508ภาษาเบสิกเป็นภาษาที่สร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้สอนเพื่อใช้สอน
    เขียนโปรแกรมแทนภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาอื่น เช่น ภาษาฟอร์แทรน ซึ่งมีขนาดใหญ่และต้องใช้
    หน่วยความจำสูงในการทำงาน ซึ่งไม่เหมาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ในสมัยนั้น ภาษาเบสิกเป็น
    ภาษาที่มีขนาดเล็ก เป็นตัวแปลภาษาชนิดที่เรียกว่าอินเทอร์พรีเตอร์
    นอกจากนี้ ภาษาเบสิกเป็นภาษาที่ง่ายต่อการเขียน ซึ่งผู้เขียนจะสามารถนำไปประยุกต์กับการแก้ปัญหาต่าง ๆ
    ได้ทุกสาขาวิชา ผู้ที่เพิ่งฝึกเขียนโปรแกรมใหม่ ๆ หรือผู้ที่ไม่ใช่นักเขียนโปรแกรมมืออาชีพ แต่เป็นเพียงวิศวกร
    หรือนักวิจัย จะสามารถหัดเขียนโปรแกรมภาษาเบสิกได้ในเวลาไม่นานนัก ปกติภาษาเบสิกส่วนใหญ่ใช้กับ
    ไมโครคอมพิวเตอร์
    ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา BASIC
    CLS
    PRINT “PLEASE ENTER A NUMBER”
    INPUT NUMBER
    DO WHILE NUMBER <> 999
    SUM = SUM + NUMBER
    vCOUNTER = COUNTER + 1
    PRINT “PLEASE ENTER THE NEXT NUMBER”
    INPUT NUMBER
    LOOP
    AVERAGE = SUM/COUNTER
    PRINT “THE AVERAGE OF THE NUMBER IS”; AVERAGE
    END
    4) ภาษาปาสคาล (Pascal)
    ตั้งชื่อตามนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ เบลส ปาสคาล (Blaise Pascal) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องคิดเลขโดย
    ใช้เฟืองหมุน ภาษาปาสคาลคิดขึ้นในปี พ.ศ. 2514 โดยนิคลอส เวียซ (Niklaus Wirth) ศาสตราจารย์วิชา
    คอมพิวเตอร์ชาวสวิต ภาษาปาสคาลได้รับการออกแบบให้ใช้ง่ายและมีโครงสร้างที่ดี จึงเหมาะกับการ
    ใช้สอนหลักการเขียนโปรแกรม ปัจจุบันภาษาปาสคาลยังคงได้รับความนิยมใช้ในการเรียนเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
    ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Pascal
    PROGRAM AVERAGE OF NUMBER:
    VAR
    COUNTER , NUMBER , SUM : INTEGER ;
    AVERAGE : REAL ;
    BEGIN
    SUM := 0 ;
    COUNTER := 0;
    WRITELN (‘PLEASE ENTER A NUMBER');
    READLN ( NUMBER);
    WHILE NUMBER <> 999 DO
    BEGIN (* WHILE LOOP *)
    SUM := SUM + COUNTER;
    WRITELN (‘PLEASE ENTER THE NEXT NUMBER');
    READ ( NUMBER);
    END ; (* WHILE LOOP *)
    AVERAGE := SUM / COUNTER;
    WRITELN (‘THE AVERAGE OF THE NUMBERS IS' , AVERAGE : 2 );
    END.
    5) ภาษาซีและซีพลัสพลัส (C และ C++)
    ภาษาซีเป็นภาษาที่พัฒนาจากห้องปฏิบัติการเบลล์ของบริษัทเอทีแอนด์ทีในปี พ.ศ. 2515 หลังจากที่
    พัฒนาขึ้นได้ไม่นาน ภาษาซีก็กลายเป็นภาษาที่นิยมในหมู่นักเขียนโปรแกรมมาก และมีใช้งานในเครื่องทุกระดับ
    ทั้งนี้เนื่องจากภาษาซีได้รวมเอาข้อมูลของภาษาระดับสูงและภาษาระดับต่ำเข้าไว้ด้วยกัน กล่าวคือเป็นภาษา
    ที่มีไวยากรณ์ที่เข้าใจง่าย ทำให้เขียนโปรแกรมได้ง่ายเช่นเดียวกับภาษาระดับสูงทั่วไป แต่ประสิทธิภาพและ
    ความเร็วในการทำงานดีกว่ามาก เนื่องจากมีการทำงานเหมือนภาษาระดับต่ำ สามารถทำงานได้ในระดับที่
    เป็นการควบคุมฮาร์ดแวร์ได้มากกว่าภาษาระดับสูงอื่น ๆ ดังจะเห็นว่าภาษาซีเป็นภาษาที่สามารถพัฒนา
    ระบบปฏิบัติการได้ เช่น ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์
    นอกจากนี้เมื่อแนวคิดของการเขียนโปรแกรมแบบเชิงวัตถุ (Object Oriented Programming : OOP)
    ได้เข้ามามีบทบาทในวงการคอมพิวเตอร์มากขึ้น ภาษาซีก็ยังได้รับการพัฒนาโดยประยุกต์ใช้กับ
    การเขียนโปรแกรมดังกล่าว เกิดเป็นภาษาใหม่ชื่อว่า “ภาษาซีพลัสพลัส” (C++)
    ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา C และ C++
    /* http://www.thaiall.com/tc */
    #include <stdio.h>
    #include <conio.h>
    void main(){
    int i, j;
    printf("Put integer :");
    scanf ("%d", &i);
    printf("n========n");
    j = 0;
    while (i > j){
    printf("%d\n", ++j);
    }
    getch();
    }
    6) ภาษาวิชวลเบสิก (Visual Basic)
    เป็นภาษาที่พัฒนาต่อมาจากภาษาเบสิก ใช้ไวยากรณ์บางส่วนของภาษาเบสิกในการเขียนโปรแกรม แต่มีแนวคิด
    และวิธีการพัฒนาโปรแกรมที่แตกต่างจากภาษาเบสิกโดยสิ้นเชิง รวมทั้งการใช้เนื้อที่ในหน่วยความจำก็
    แตกต่างกันมาก ทั้งนี้เนื่องจากภาษาวิชวลเบสิกใช้แนวคิดที่ต่างออกไป
    Private Sub Form_Load()
    Dim i As Integer
    For i = -5 To 5
    If i < 0 Then
    MsgBox i &" เป็นตัวเลขจำนวนเต็มลบ ", vbOKOnly + vbInformation, "Show"
    Else
    MsgBox i &" เป็นตัวเลขจำนวนเต็มบวก ", vbOKOnly + vbInformation, "Show"
    End If
    Next
    End Sub
    7) การเขียนโปรแกรมแบบจินตภาพ (Visual Programming)
    ภาษานี้พัฒนาขึ้นโดยบริษัทไมโครซอฟต์ออกแบบเพื่อเขียนโปรแกรมที่สามารถใช้งานได้บนระบบปฏิบัติการ
    แบบจียูไอ เช่น ระบบปฏิบัติการไมโครซอฟต์วินโดวส์ มีการติดต่อกับผู้ใช้โดยใช้รูปภาพ การเขียนโปรแกรม
    ทำได้ง่ายกว่าการเขียนโปรแกรมแบบเก่ามาก
    8) ภาษาจาวา (Java)
    พัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2534 โดยบริษัทซันไมโครซิสเตมส์ เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมสูงมาโดยตลอด เนื่องจาก
    เป็นภาษาที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเขียนโปรแกรมและใช้งานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกประเภทและ
    ระบบปฏิบัติการทุกรูปแบบ ในช่วงแรกที่เริ่มมีการนำภาษาจาวามาใช้งานจะเป็นการใช้งานบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
    เป็นภาษาที่เน้นการทำงานบนเว็บ แต่ปัจจุบันสามารถสามารถนำมาประยุกต์สร้างโปรแกรมใช้งานทั่วไปได้
    นอกจากนี้ เมื่อเทคโนโลยีของการสื่อสารก้าวหน้าขึ้น จนกระทั่งเครื่องคอมพิวเตอร์ปาล์มท็อป หรือ แม้แต่
    โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตและใช้งานระบบเวิลด์ไวด์เว็บได้ ภาษาจาวา
    ก็สามารถสร้างส่วนที่เรียกว่า “แอปเพล็ต” (Applet) ให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่กล่าวข้างต้น เรียกใช้งานจาก
    เครื่องที่เป็นแม่ข่าย (Server) ได้
    class TestJava
    {
    public static void main(String[] args)
    {
    System.out.println("Hello World!");
    }
    }
    9) ภาษาเดลฟาย (Delphi)
    เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมภาษาหนึ่ง แนวคิดในการเขียนโปรแกรมภาษาเดลฟายเหมือนกับแนวคิด
    ในการเขียนโปรแกรมภาษาวิชวลเบสิก คือเป็นการเขียนโปรแกรมเชิงจินตภาพ แต่ภาษาพื้นฐานที่ใช้ใน
    การเขียนโปรแกรมจะเป็นภาษาปาสคาล ในการเขียนโปรแกรมเชิงจินตภาพนี้มีคอมโพเนนต์ (Component)
    ที่สามารถใช้เป็นส่วนประกอบเพื่อสร้างส่วนติดต่อผู้ใช้ที่เป็นแบบกราฟิก ทำให้ซอฟต์แวร์ที่พัฒนามีความ
    น่าสนใจและใช้งานง่ายขึ้น การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาเดลฟายจึงเป็นที่นิยมในการนำไปพัฒนาเป็น
    โปรแกรมใช้งานมาก รวมทั้งภาษาปาสคาลเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะแก่การนำมาใช้สอนเขียนโปรแกรม 
    การทำงานของโปรแกรมแปลภาษา
    ในการประมวลผลโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาระดับสูง จำเป็นต้องอาศัยโปรแกรมที่ทำหน้าที่ช่วย
    ในการแปลโปรแกรมภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง โปรแกรมแปลภาษาที่ใช้แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่
    1) คอมไพเลอร์ (Compiler)
    เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ในการแปลโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาระดับสูงที่เรียกกันว่า “โปรแกรมต้นฉบับ”
    (Source Program) ให้เป็นโปรแกรมภาษาเครื่อง (Object Program) ถ้ามีข้อผิดพลาดเครื่องจะพิมพ์รหัส
    หรือข้อผิดพลาดออกมาด้วย ภายหลังการแปลถ้าไม่มีข้อผิดพลาด ผู้ใช้สามารถสั่งประมวลผลโปรแกรม
    และสามารถเก็บโปรแกรมที่แปลภาษาเครื่องไว้ใช้งานต่อไปได้อีก โดยไม่ต้องทำการแปลโปรแกรมซ้ำอีก
    ตัวอย่างโปรแกรมแปลภาษาแบบนี้ ได้แก่ โปรแกรมแปลภาษาฟอร์แทรน โปรแกรมแปลภาษาโคบอล โปรแกรม
    แปลภาษาปาสคาล โปรแกรมแปลภาษาซี 
    2) อินเทอร์พรีเตอร์ (Interpreter)
    เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ในการแปลโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาระดับสูงให้เป็นโปรแกรมภาษาเครื่องเช่นเดียว
    กับคอมไพเลอร์ ความแตกต่างจะอยู่ที่อินเทอร์พรีเตอร์จะทำการแปลและประมวลผลทีละคำสั่ง ข้อเสียของ
    อินเทอร์พรีเตอร์ก็คือถ้านำโปรแกรมนั้นมาใช้งานอีกจะต้องทำการแปลโปรแกรมทุกครั้ง ภาษาบางภาษา
    มีโปรแกรมแปลทั้งสองลักษณะ เช่น ภาษาเบสิก เป็นต้น
    ระบบติดต่อของการใช้งานคอมพิวเตอร์
    ตามปกติเมื่อซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้งาน มักจะได้ระบบปฏิบัติการมาพร้อมกับเครื่อง ซึ่งสามารถจัดการ
    ให้ผู้ใช้เรียกใช้หรือติดต่อกับเครื่องได้ทันที โดยรูปแบบของการติดต่อกับเครื่องจะขึ้นกับระบบปฏิบัติกี่ที่ติดตั้งและ
    ซอฟต์แวร์เสริมสภาพแวดล้อมการใช้งาน ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบติดต่อระหว่างเครื่อง
    กับผู้ใช้ให้ใช้ง่ายและทำงานได้รวดเร็วขึ้น
    ระบบติดต่อใช้งานคอมพิวเตอร์อาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกันได้แก่ กลุ่มพิมพ์คำสั่งเข้าไปทีละบรรทัด
    กลุ่มเลือกรายการเมนู กลุ่มเลือกสัญรูป
    1 กลุ่มพิมพ์คำสั่งเข้าทีละบรรทัด
    ระบบการติดต่อแบบนี้เป็นระบบติดต่อแบบแรกที่พัฒนามาพร้อม ๆ กับคอมพิวเตอร์ ก่อนที่จะมีการพัฒนาระบบอื่นๆ
    เป็นการป้อนคำสั่งทีละบรรทัด ซึ่งไม่เอื้อต่อการใช้งานคอมพิวเตอร์เท่าใดนัก เพราะผู้ใช้จะต้องเรียนรู้หรือจดจำคำสั่งต่างๆ
    ไว้ให้ได้เสียก่อน เช่น การเรียกใช้คำสั่งของดอส ระบบนี้ผู้ใช้จะมีความสับสนในระยะแรก เพราะจะต้องเรียนรู้คำสั่งว่าใช้งานอะไร
    และใช้ได้อย่างไร ซึ่งการป้อนหรือพิมพ์คำสั่งเข้าไปจะต้องพิมพ์ไม่ผิดเลย ระบบติดต่อนี้จะใช้ยากและเสียเวลาบ้าง
    ถ้าจำคำสั่งไม่ได้ แต่ถ้าใช้ไปนาน ๆ จนคุ้นเคย อาจมีข้อดีที่สามารถเรียกโปรแกรมมาทำงานได้รวดเร็วที่สุดใช้พื้นที่
    หน่วยความจำน้อยเพราะลดการแสดงผลในส่วนของกราฟิก
    2 กลุ่มเลือกรายการเมนู
    ในระบบนี้จะแสดงรายการย่อยของคำสั่งต่าง ๆ ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นข้อความตัวอักษร ไม่เป็นรูปกราฟิก ผู้ใช้
    เพียงแต่เลื่อนตัวชี้ แถบสี หรือสัญลักษณ์ลูกศรขึ้นลง รูปสัญลักษณ์อื่น ๆ ไปยังรายการที่ต้องการ แล้วกดปุ่มเลือก
    รายการนั้น หรืออาจใช้เมาส์เลือกรายการใช้เช่นกัน ระบบติดต่อใช้งานคอมพิวเตอร์กลุ่มนี้จะใช้งานได้ง่ายขึ้น
    ไม่ต้องจดจำคำสั่งมาก เพราะจะมีรายการคำสั่งแสดงไว้ให้เลือก
    3 กลุ่มเลือกสัญรูป
    มีลักษณะคล้ายระบบติดต่อกลุ่มที่สองที่เป็นรายการเมนูให้เลือก เพียงแต่ว่ารายการของกลุ่มที่สาม จะเป็นรูปภาพ
    หรือสัญรูปสำหรับเลือก โดยมี อุปกรณ์เมาส์เป็นตัวเลื่อน ตัวชี้ และเลือกรายการ ในบางกรณีก็อาจเป็นรายการ
    เมนูย่อยของข้อมูลในระบบ การติดต่อระหว่างเครื่องกับผู้ใช้ในลักษณะนี้ได้รับความสนใจมาก เพราะใช้งานง่าย
    ไม่ต้องเรียนรู้หรือจดจำคำสั่งที่ซับซ้อนระบบติดต่อใช้งานในกลุ่มที่สามที่มีผู้นิยมหรือกล่าวถึงกันมากคือ
    ระบบติดต่อผู้ใช้เชิงกราฟิก เรียกว่า จียูไอ นับเป็นระบบที่แสดงรูปกราฟิกแบบบิตแมพ (Bit Map) ระบบปฏิบัติ
    การคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นวินโดวส์ ดอส โอเอสทู หรือยูนิกซ์ ต่างก็มีซอฟต์แวร์มาเสริมสภาพ
    การใช้งานเป็นแบบจียูไอกันทั้งหมด
    ซอฟต์แวร์ประเภทจียูไอ ส่วนใหญ่เป็นโปรแกรมที่ซับซ้อนและมีขีดความสามารถสูง ดังนั้นการติดต่อหรือ
    การเรียนรู้จึงยากกว่าปกติ แต่หลังจากติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซอฟต์แวร์ประเภทนี้จะใช้งานได้ง่าย และ
    ถ้านำไปทำงานในเครื่องความเร็วสูง ก็จะช่วยประหยัดเวลา และทำให้โปรแกรมต่าง ๆ ใช้งานง่ายขึ้น
    ซอฟต์แวร์ประเภทจียูไอเป็นซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่จึงใช้พื้นที่หน่วยความจำมาก ต้องใช้ตัวประมวลผลที่
    มีขีดความสามารถสูง จึงจะทำงานได้ผล
    ลักษณะเด่นของระบบติดต่อกุยเมื่อใช้กับซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการหลายภารกิจ คือ สามารถทำหลายงานได้
    ในเวลาเดียวกัน โดยงานหนึ่ง ๆ จะปรากฏในช่องหน้าต่างที่เปิดขึ้นมาบนจอภาพ สามารถสลับระหว่างช่องหน้าต่างไปมา
    เปลี่ยนขนาดและย้ายตำแหน่งของช่องหน้าต่าง และการโอนย้ายข้อมูลระหว่างช่องหน้าต่างหรือระหว่างโปรแกรมได้
    ในส่วนของผู้ที่เป็นนักเขียนโปรแกรมก็จะได้ประโยชน์ สามารถเขียนโปรแกรมประยุกต์สร้างเป็นเมนูภาพ สัญรูป
    และช่องหน้าต่างแสดงข้อมูล
    ระบบติดต่อกุยที่สมบูรณ์แบบ ควรมีองค์ประกอบดังนี้
    1)  มีระบบที่ใช้รูปกราฟิกและสัญรูป
    2)  มีการแสดงรายการบนจอที่สวยงาม น่าดู และให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินกับการใช้งาน
    3)  สามารถพิมพ์ผลลัพธ์ที่ปรากฏบนจอได้เหมือนกับที่เห็น
    4)  สนับสนุนการใช้เครื่องพิมพ์หลายรุ่น
    5)  แสดงองค์ประกอบของระบบไม่ว่าจะเป็นช่องหน้าต่างหรือรายการเมนูเป็นมาตรฐานเดียวกัน จนทำ
    ให้แยกไม่ออกว่ากำลังทำงานอยู่เครื่องต่างระบบ หรือทำงานต่าง โปรแกรม เป็นต้น
    6)  มีลักษณะการใช้งานแบบเลือกรายการ เลือกชิ้นวัตถุที่สามารถชี้และเลือกด้วยเมาส์
    7)  มีระบบที่ติดตั้งได้ง่ายและสามารถปรับเปลี่ยนระบบภายในได้ง่าย
    8)  สามารถทำงานเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รุ่นเก่า
    9)  สนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างโปรแกรม
    ตัวอย่างการเลือกใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
    -    ภาษาคอมพิวเตอร์การใช้งาน
    -    BASIC (Beginner's All-purpose Symbolic Instruction Code) ภาษานี้เหมาะสำหรับผู้เริ่มศึกษา การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
    -    COBOL (Common Business Oriented Language) ภาษานี้นิยมใช้ในงานธุรกิจบนเครื่องขนาดใหญ่
    -    FORTRAN (FORmula TRANslator) ภาษานี้ใช้สำหรับงานด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์
    -    Pascal ( ชื่อของ Blaise Pascal) ภาษานี้จะใช้ในวิทยาลัย และมหาวิทยาลัย
    -    C ภาษานี้เหมาะสำหรับนักเขียนโปรแกรม และใช้ในวิทยาลัย มหาวิทยาลัย
    -    C++ ภาษานี้สำหรับผู้ผลิตซอฟต์แวร์
    -    ALGOL (ALGOrithmic Language)
    -    ภาษานี้เป็นภาษาสำหรับงานทางวิทยาศาสตร์ และต่อมามีการพัฒนาต่อเป็นภาษา PL/I และ Pascal
    -    APL (A Programming Language)
    -    ภาษานี้ออกแบบโดยบริษัท IBM ใน ปี ค.ศ. 1968 เป็นภาษาที่โต้ตอบกับผู้ใช้ทันที เหมาะสำหรับจัดการกับกลุ่มของข้อมูลที่สัมพันธ์กันในรูปแบบตาราง
    -    LISP (LIST Processing) ภาษานี้ถูกออกแบบมาให้ใช้กับข้อมูลที่ไม่ใช้ตัวเลข ซึ่งอาจเป็นสัญลักษณ์พิเศษหรือตัวอักษรก็ได้ด้วย
    -    LOGO ภาษานี้นิยมใช้ในโรงเรียน เพื่อสอนทักษะการแก้ปัญหาให้กับนักเรียน
    -    PL/I (Programming Language One) ภาษานี้ถูกออกแบบมาให้ใช้ กับงานทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ และธุรกิจด้วย
    -    PROLOG (PROgramming LOGIC) ภาษานี้ นิยมใช้มากในงานด้านปัญญาประดิษฐ์ จัดเป็นภาษาธรรมชาติภาษาหนึ่งด้วย
    -    RPG (Report Program Generator) ภาษานี้ถูกออกแบบมาให้ใช้กับงานทางธุรกิจ จะมีคุณสมบัติในการสร้างโปรแกรม สำหรับพิมพ์รายงานที่ยืดหยุ่นมากทีเดียว


    ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก http://www.sr.ac.th/sr_com/page_310.html
    Category: articles
    การแบ่งยุคคอมพิวเตอร์
     
     ยุคของคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งได้เป็น 5 ยุค ดังนี้ คือ

    คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1

    อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2501 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศซึ่งใช้กำลังไฟฟ้าสูง จึงมีปัญหา
    เรื่องความร้อนและไส้หลอดขาดบ่อย ถึงแม้จะมีระบบระบายความร้อนที่ดีมาก การสั่งงาน   ใช้ภาษาเครื่องซึ่งเป็น
    รหัสตัวเลขที่ยุ่งยากซับซ้อน เครื่องคอมพิวเตอร์ของยุคนี้มีขนาดใหญ่โต เช่น มาร์ค วัน (MARK I), อีนิแอค (ENIAC)
    ยูนิแวค (UNIVAC)
     
     
     คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2

    คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2506 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ โดยมีแกนเฟอร์ไรท์
    เป็นหน่วยความจำ มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองในรูปของสื่อบันทึกแม่เหล็ก เช่น จานแม่เหล็ก ส่วนทางด้านซอฟต์แวร์
    ก็มีการพัฒนาดีขึ้น โดยสามารถเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงซึ่งเป็นภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่คนสามารถเข้าใจได้
    เช่น ภาษาฟอร์แทน ภาษาโคบอล เป็นต้น ภาษาระดับสูงนี้ได้มีการพัฒนาและใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน
      
     คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3

    คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ. 2512 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวม (Integrated Circuit : IC)
    โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ภายในมากมายทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะออกแบบซับซ้อนมากขึ้น
    และสามารถสร้างเป็นโปรแกรมย่อย ๆในการกำหนดชุดคำสั่งต่าง ๆ ทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีระบบควบคุมที่มีความสามารถ
    สูงทั้งในรูประบบแบ่งเวลาการทำงานให้กับงานหลาย ๆ อย่าง
     
     คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4

    คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513จนถึงปัจจุบันเป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมความจุสูงมาก
    (Very Large Scale Integration : VLSI)  เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์ที่บรรจุทรานซิสเตอร์นับหมื่นนับแสนตัว
    ทำให้ขนาดเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงสามารถตั้งบนโต๊ะในสำนักงานหรือพกพาเหมือนกระเป๋าหิ้วไปในที่ต่าง ๆ
    ขณะเดียวกันระบบซอฟต์แวร์ก็ได้พัฒนาขีดความสามารถสูงขึ้นมาก มีโปรแกรมสำเร็จให้เลือกใช้กันมากทำให้เกิด
    ความสะดวกในการใช้งานอย่างกว้างขวาง
     
     คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5

    คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนำมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมี
    การเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้นและดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์
    ยุคนี้เป็นผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ -
    อเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกำลังสนใจค้นคว้าและพัฒนาทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง
     



    ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก http://www.sr.ac.th/sr_com/page_302.html
    Category: articles
    คอมพิวเตอร์กับการแปลงค่าเลขฐาน
     
     คอมพิวเตอร์กับเลขฐาน
              ระบบเลขฐานที่มีความเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ คือ ช่วยในเรื่องการจัดการระบบดิจิตอลหรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ใน คอมพิวเตอร์ หรือแทนรหัสข้อมูลในระบบ BCD, EBCDIC, ASCII โดยส่วนใหญ่ระบบเลขฐานที่ใช้ในคอมพิวเตอร์เป็น ระบบเลขฐานสอง ระบบเลขฐานแปดและระบบเลขฐานสิบหก โดยจะต้องมีการนำระบบเลขฐานดังกล่าวมาคำนวณผลด้วย ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ ตลอดจนกระทั่งการเปลี่ยนระบบเลขฐาน เพื่อให้มนุษย์เกิดความเข้าใจระบบการทำงานของ คอมพิวเตอร์ซึ่งในการประมวลผลข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์นั้นข้อมูลต่าง ๆ จะถูกนำเข้าเป็นลำดับของบิต(Bit) หรือเลขฐานสองก่อน เช่น 110100110110   110101100110   110110110110
     ระบบเลขฐาน
              ระบบเลขฐานประกอบด้วยเลขฐาน 2 เลขฐาน 8 เลขฐาน 10 เลขฐาน 16
             ระบบเลขฐาน 2 (Binary Number System) เป็นเลขฐานที่ประกอบด้วยเลข 2 ตัว ได้แก่เลข 0 กับ เลข 1 ซึ่งเป็นเลขฐานที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ง่าย เพราะว่าอุปกรณ์ทางไฟฟ้าก็มีสถานะเพียง 2 สถานะ คือ เปิด กับ ปิด ซึ่งก็เทียบได้กับ 0 กับ 1 แต่ถ้าใช้เลขฐาน 10 ในคอมพิวเตอร์อาจจะเกิดปัญหาอย่างอื่นตามมา หรือแม้แต่อุปกรณ์ทางไฟฟ้า ก็ต้องแบ่งสถานะออกเป็น 10 สถานะ ซึ่งไม่เป็นที่นิยมนัก การเก็บข้อมูลในระบบของคอมพิวเตอร์ก็จะจัดเก็บเป็นกลุ่มตัวเลขฐานสองหลายบิต ขึ้นอยู่กับขนาดของสิ่งที่ต้องการเก็บ และหน่วยความจำที่ใช้
             ระบบเลขฐาน 8 (Octal Number System) เป็นเลขฐานที่ประกอบด้วยเลข 8 ตัว ซึ่งประกอบด้วยเลข 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ซึ่งเป็นเลขฐานที่เพิ่มเนื้อที่หน่วยความจำในการเก็บให้มากขึ้น การเก็บข้อมูลเป็นเลขฐาน 8 จะทำให้เก็บข้อมูลได้มากขึ้น
             ระบบเลขฐาน 10 (Decimal Number System) เป็นเลขฐานที่ประกอบด้วยตัวเลข 10 ตัว ซึ่งประกอบด้วยเลข 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ซึ่งระบบเลขฐาน 10 เป็นระบบเลขฐานที่คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันซึ่งใช้มาตลอด สามารถจำได้และคำนวณได้ง่ายกว่าเลขฐานอื่น ๆ
             ระบบเลขฐาน 16 (Hexadecimal Number System) เป็นเลขฐานที่ประกอบด้วยตัวเลข 10 ตัวและตัวอักษรแทนตัวเลขอีก 6 ตัว ซึ่งประกอบด้วยเลข 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 และตัวอักษรภาษาอังกฤษแทน 10 ถึง 15 ได้แก่ A, B, C, D, E, F ซึ่งก็จะเก็บข้อมูลได้มากกว่าระบบเลขฐาน 2 ฐาน 8
     
    ตารางการแปลงเลขระหว่างระบบเลขฐาน
    เลขฐาน2เลขฐาน8เลขฐาน10เลขฐาน16
    0000
    1111
    10222
    11333
    100444
    101555
    110666
    111777
    10001088
    10011199
    10101210A
    10111311B
    11001412C
    11011513D
    11101614E
    11111715F
     การแปลงค่าเลขฐาน
     
    • การแปลงเลขฐานใดๆ เป็น ฐาน 10
    • การแปลงเลขฐาน 10  เป็น ฐานใดๆ
    • การแปลงเลขฐาน 2 เป็น ฐาน 8 ฐาน 16
    • การแปลงเลขฐาน 8 ฐาน 16 เป็น ฐาน 2
     การคำนวณ
             1. การแปลงค่าเลขฐานสิบให้เป็นเลขฐานสอง  ฐานแปด  และฐานสิบหก
      สามารถคำนวณได้จาก การหารสั้นด้วยเลขฐานที่ต้องการแปลงค่า  แล้วนำผลลัพธ์และเศษที่ได้มาเรียงต่อกันจากล่างขึ้นบน
     
     
     
              2. การแปลงเลขฐานสอง  ฐานแปด  และฐานสิบหกให้เป็นเลขฐานสิบ  สามารถคำนวณได้ จากการนำเลขฐานที่ต้องการแปลงในหลักนั้นมาคูณกับค่าประจำหลักของฐาน  แล้วนำแต่ละหลักมารวมกัน 
     
     
     
              3. การแปลงค่าเลขฐานสองให้เป็นเลขฐานแปด  สามารถคำนวณได้จากการแบ่งกลุ่มเลขฐานสอง 
    กลุ่มละสามหลัก  จากด้านขวาไปด้านซ้ายแล้วแปลงเลขฐานสองแต่ละกลุ่มให้เป็นเลขฐานสิบ  จากนั้นจึงนำตัวเลข
    ที่ได้มาเรียงต่อกัน  ซึ่งการแปลงเลขฐานสองให้เป็นเลขฐานสิบนั้นสามารถคำนวณได้จากข้อ  2  หรือเทียบจาก
    ตารางเลขฐาน
     
              4. การแปลงค่าเลขฐานสองให้เป็นเลขฐานสิบหก  สามารถคำนวณได้จากการแบ่งกลุ่มเลขฐานสอง
    กลุ่มละสี่หลักจากด้านขวาไปด้านซ้าย  แล้วแปลงเลขฐานสองแต่ละกลุ่มให้เป็นเลขฐานสิบ  จากนั้นนำตัวเลข
    ที่ได้มาเรียงต่อกัน
     
              5. การแปลงค่าเลขฐานแปดให้เป็นเลขฐานสอง  สามารถคำนวณได้จากการแบ่งเลขฐานแปดทีละหลัก
    แปลงเลขฐานแปดให้เป็นเลขฐานสองสามหลักด้วยการเปรียบเทียบจากตารางเลขฐาน  หากเลขฐานสองนั้น
    มีไม่ถึงสามหลัก  ให้เติม  0  ด้านหน้าของหลักนั้น  แล้วจึงนำค่าที่ได้มาเรียงต่อกัน
     
              6. การแปลงค่าเลขฐานแปดให้เป็นเลขฐานสิบหก  สามารถคำนวณได้จากการบ่งเลขฐานแปดทีละหลัก แปลงเลขฐานแปดให้เป็นเลขฐานสองด้วยการเปรียบเทียบจากตารางเลขฐาน แล้วนำเลขฐานสองที่ได้แปลงให้เป็น เลขฐานสิบหกอีกครั้งหนึ่ง
     
              7. การแปลงค่าเลขฐานสิบหกให้เป็นเลขฐานสอง  สามารถคำนวณได้จากการแบ่งเลขฐานสิบหกทีละหลัก              
    แปลงเลขฐานสิบหกให้เป็นเลขฐานสองสี่หลักด้วยการเปรียบเทียบจากตารางเลขฐาน  หากเลขฐานสองนั้นมีไม่ถึงสี่หลัก  ให้เติม  0  ด้านหน้าของหลักนั้นแล้วจึงนำค่าที่ได้มาเรียงต่อกัน
     
              8. การแปลงเลขฐานสิบหกให้เป็นเลขฐานแปด สามารถคำนวณได้จากการแปลงเลขฐานสิบหกให้เป็นเลขฐานสอง แล้วแปลงจากเลขฐานสองให้เป็นเลขฐานแปดอีกครั้งหนึ่ง
     
     สาระน่ารู้เกี่ยวกับการแปลงค่าเลขฐาน
              การแปลงเลขฐานที่เป็นตัวเลขที่มีหลักเดียวสามารถนำมาเทียบกับตารางเลขฐานได้  โดยไม่ต้องคำนวณค่าใหม่
    เนื่องจากตารางเลขฐานเกิดจากการเรียงลำดับเลขของเลขฐานนั้น ๆ ซึ่งจะมีผลลัพธ์เท่ากับการคำนวณ


    ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก http://www.sr.ac.th/sr_com/page_309.html
    Category: articles